ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากน้ำมันดิบร่วงลงเกือบ 3 ดอลลาร์ ภายหลังจากที่โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,640.84 จุด ลดลง 96.53 จุด หรือ -0.54% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,664.71 จุด ลดลง 39.36 จุด หรือ -0.84% ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันทำการล่าสุดที่ 2,028.26 จุด ลดลง 16.55 จุด หรือ -0.81%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.8% ซึ่งปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้น 10 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กดิ่งลงเกือบ 3 ดอลลาร์ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.9% ขณะที่หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 3.7% และหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ร่วงลง 3.9%
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลังจากโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ลงสู่ระดับ 47.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่ 73.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยังได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีหน้า ลงเหลือ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
หุ้นอัลโค อิงค์ ปรับตัวขึ้น 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2557 อยู่ที่ 33 เซนต์ ขณะที่รายได้พุ่งขึ้น 14% สู่ระดับ 6.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐสัปดาห์นี้ รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป
นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเพิ่มขึ้นเพียง 2% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว และจะอยู่ที่ 2.8% ในไตรมาสนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจาก 8.1% และ 9.2% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือนต.ค.2014 โดยสาเหตุที่ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรครั้งนี้มาจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกจิเดือนพ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค.,การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนม.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,640.84 จุด ลดลง 96.53 จุด หรือ -0.54% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,664.71 จุด ลดลง 39.36 จุด หรือ -0.84% ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันทำการล่าสุดที่ 2,028.26 จุด ลดลง 16.55 จุด หรือ -0.81%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.8% ซึ่งปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้น 10 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กดิ่งลงเกือบ 3 ดอลลาร์ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.9% ขณะที่หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 3.7% และหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ร่วงลง 3.9%
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลังจากโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ลงสู่ระดับ 47.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่ 73.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยังได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีหน้า ลงเหลือ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
หุ้นอัลโค อิงค์ ปรับตัวขึ้น 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2557 อยู่ที่ 33 เซนต์ ขณะที่รายได้พุ่งขึ้น 14% สู่ระดับ 6.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐสัปดาห์นี้ รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป
นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเพิ่มขึ้นเพียง 2% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว และจะอยู่ที่ 2.8% ในไตรมาสนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจาก 8.1% และ 9.2% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือนต.ค.2014 โดยสาเหตุที่ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรครั้งนี้มาจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกจิเดือนพ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค.,การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนม.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน