วันนี้ (9 ม.ค.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการป้องกัน และแก้ไขปัญหาคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยมีนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 8 กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ ถ.แจ้งวัฒนะ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ได้เรียกส่วนราชการทั้งหมดมารับทราบว่า ที่ผ่านมาใครอยู่ในคณะกรรมการชุดไหนบ้าง มีขอบเขตแค่ไหน เพื่อเป็นการทบทวนการทำงานที่ผ่านมาว่าเชื่อมโยงอย่างไร จากนั้นให้แต่ละหน่วยงานได้ชี้แจงงานและปัญหาข้อขัดข้องในการเชื่อมโยงกัน เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นคณะกรรมการที่ไม่ครอบคลุม จึงเตรียมตั้งคณะกรรมการใหม่ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการต่างประเทศ ด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางโซเชียลมีเดีย และคณะทำงานทำความเข้าใจกับคนในประเทศและต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2552 และ 2554 การทำงานเน้นที่ขั้นตอนก่อนเข้าสู่กระบวนทางกฎหมาย และวิธีการลงโทษ ทำให้ไม่ครอบคลุมงานทั้ง 4 ด้าน โดยจะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้มีการยกเลิกคำสั่งในปี 2552 และปี 2554 เพื่อเสนอให้ออกคำสั่งใหม่ และตั้งคณะอนุกรรมการดูแลทั้ง 4 ด้านให้ครบถ้วน เช่น กระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำหน้าที่ชี้แจงกับต่างประเทศ รวม 10 ประเทศ ที่ได้รับรายงานว่ามีผู้ต้องหาคดี 112 เข้าไปพักอาศัย กระทรวงต่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการประสานข้อมูลจากฝ่ายปราบปรามเพื่อนำไปชี้แจงถึงข้อกล่าวอ้างที่ผู้ต้องหาหลบหนีระบุว่าเป็นคดีการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นความผิดในคดีความมั่นคง และคดีอาญาอย่างไร
นอกจากนี้ ตนยังพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ถึงข้อมูลเชิงลึกที่ยังไม่เคยนำเสนอกับต่างประเทศ หลังจากที่มีการตั้งชุดทำงานใหม่เพื่อให้ครอบคลุมงานตามที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าจะมีความคืบหน้า โดยคาดว่าอีก 2 วัน คณะทำงานจะมีความชัดเจนขึ้น
ทางด้านผู้แทนศาลยุติธรรมได้ให้ข้อมูลถึงปัญหาอุปสรรค จากการประสานข้อหมายจับ และการระงับข้อมูลที่มีการเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ที่ผ่านมา ประสานมาเป็นหนังสือนานกว่า 3 วัน ทำให้งานป้องกันและปราบปรามติดตามไม่ทันความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย โดยให้ร่างคำสั่งใหม่ เพื่อให้มีช่องทางประสานกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ได้เรียกส่วนราชการทั้งหมดมารับทราบว่า ที่ผ่านมาใครอยู่ในคณะกรรมการชุดไหนบ้าง มีขอบเขตแค่ไหน เพื่อเป็นการทบทวนการทำงานที่ผ่านมาว่าเชื่อมโยงอย่างไร จากนั้นให้แต่ละหน่วยงานได้ชี้แจงงานและปัญหาข้อขัดข้องในการเชื่อมโยงกัน เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นคณะกรรมการที่ไม่ครอบคลุม จึงเตรียมตั้งคณะกรรมการใหม่ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการต่างประเทศ ด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางโซเชียลมีเดีย และคณะทำงานทำความเข้าใจกับคนในประเทศและต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2552 และ 2554 การทำงานเน้นที่ขั้นตอนก่อนเข้าสู่กระบวนทางกฎหมาย และวิธีการลงโทษ ทำให้ไม่ครอบคลุมงานทั้ง 4 ด้าน โดยจะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้มีการยกเลิกคำสั่งในปี 2552 และปี 2554 เพื่อเสนอให้ออกคำสั่งใหม่ และตั้งคณะอนุกรรมการดูแลทั้ง 4 ด้านให้ครบถ้วน เช่น กระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำหน้าที่ชี้แจงกับต่างประเทศ รวม 10 ประเทศ ที่ได้รับรายงานว่ามีผู้ต้องหาคดี 112 เข้าไปพักอาศัย กระทรวงต่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการประสานข้อมูลจากฝ่ายปราบปรามเพื่อนำไปชี้แจงถึงข้อกล่าวอ้างที่ผู้ต้องหาหลบหนีระบุว่าเป็นคดีการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นความผิดในคดีความมั่นคง และคดีอาญาอย่างไร
นอกจากนี้ ตนยังพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ถึงข้อมูลเชิงลึกที่ยังไม่เคยนำเสนอกับต่างประเทศ หลังจากที่มีการตั้งชุดทำงานใหม่เพื่อให้ครอบคลุมงานตามที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าจะมีความคืบหน้า โดยคาดว่าอีก 2 วัน คณะทำงานจะมีความชัดเจนขึ้น
ทางด้านผู้แทนศาลยุติธรรมได้ให้ข้อมูลถึงปัญหาอุปสรรค จากการประสานข้อหมายจับ และการระงับข้อมูลที่มีการเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ที่ผ่านมา ประสานมาเป็นหนังสือนานกว่า 3 วัน ทำให้งานป้องกันและปราบปรามติดตามไม่ทันความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย โดยให้ร่างคำสั่งใหม่ เพื่อให้มีช่องทางประสานกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ