ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดในกรอบแคบๆในวันแรกแห่งการซื้อขายของปี 2015 เมื่อวันศุกร์(2ม.ค.) จากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของอเมริกา และนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 9.92 จุด (0.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,832.99 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 0.70 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,058.20 จุด แนสแดค ลดลง 9.24 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,726.81 จุด
ในช่วงที่ตลาดเปิดทำการได้ไม่นานนั้น ดัชนีดาวโจนส์ขานรับศักราชใหม่ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ก่อนที่จะอ่อนแรงลงในระหว่างวันและปิดตลาดเกือบทรงตัว ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่บางเบา หลังจากมีรายงานว่า ภาคการผลิตของสหรัฐชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า ดัชนีภาคการผลิตประจำเดือนธ.ค.มีการขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยร่วงลงแตะระดับ 55.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2014 จาก 58.7 ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 57.6
ด้านมาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ร่วงลงแตะระดับ 53.9 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2014 จากตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.7 และจากระดับ 54.8 ในเดือนพ.ย. นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.3% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากภาครัฐและภาคธุรกิจลดการใช้จ่ายในโครงการต่างๆ
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแม้ว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กยังคงชะลอตัวลงก็ตาม โดยหุ้นเรนจ์ รีซอสเซส พุ่งขึ้น 3.7% และหุ้นอีคิวที ทะยานขึ้น 2.4%
หุ้นอินเตอร์เนชันแนล บิสิเนส แมชีนส์ (ไอบีเอ็ม) พุ่งขึ้น 1% ส่วนหุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ขยับขึ้น 0.7% หลังจากนักวิเคราะห์จาก Canaccord Genuity ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "buy" จากก่อนหน้านี้ที่ระดับ "hold"
ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ตลอดปี 2557 ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 7.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันยาวนานถึง 6 ปี ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 11.4% และดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้น 13.4% โดยดัชนีทั้ง 2 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 3
นักวิเคราะห์คาดว่า นักลงทุนในตลาดการเงินจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างใกล้ชิดในปีนี้ เพื่อประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 9.92 จุด (0.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,832.99 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 0.70 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,058.20 จุด แนสแดค ลดลง 9.24 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,726.81 จุด
ในช่วงที่ตลาดเปิดทำการได้ไม่นานนั้น ดัชนีดาวโจนส์ขานรับศักราชใหม่ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ก่อนที่จะอ่อนแรงลงในระหว่างวันและปิดตลาดเกือบทรงตัว ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่บางเบา หลังจากมีรายงานว่า ภาคการผลิตของสหรัฐชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า ดัชนีภาคการผลิตประจำเดือนธ.ค.มีการขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยร่วงลงแตะระดับ 55.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2014 จาก 58.7 ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 57.6
ด้านมาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ร่วงลงแตะระดับ 53.9 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2014 จากตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.7 และจากระดับ 54.8 ในเดือนพ.ย. นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.3% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากภาครัฐและภาคธุรกิจลดการใช้จ่ายในโครงการต่างๆ
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแม้ว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กยังคงชะลอตัวลงก็ตาม โดยหุ้นเรนจ์ รีซอสเซส พุ่งขึ้น 3.7% และหุ้นอีคิวที ทะยานขึ้น 2.4%
หุ้นอินเตอร์เนชันแนล บิสิเนส แมชีนส์ (ไอบีเอ็ม) พุ่งขึ้น 1% ส่วนหุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ขยับขึ้น 0.7% หลังจากนักวิเคราะห์จาก Canaccord Genuity ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "buy" จากก่อนหน้านี้ที่ระดับ "hold"
ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ตลอดปี 2557 ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 7.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันยาวนานถึง 6 ปี ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 11.4% และดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้น 13.4% โดยดัชนีทั้ง 2 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 3
นักวิเคราะห์คาดว่า นักลงทุนในตลาดการเงินจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างใกล้ชิดในปีนี้ เพื่อประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด