นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานมหกรรมการลงทุนแห่งปี : เซต อิน เดอะ ซิตี้ 2014 ว่า กระทรวงการคลังจะพิจารณาการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ให้ได้ข้อสรุปชัดเจน ไตรมาสแรกของปี 58 เนื่องจากมาตรการนี้จะสิ้นสุดในปี 59 ซึ่งเห็นว่าควรต่ออายุมาตรการนี้ต่อไป ส่วนจะต่อแบบเดิมหรือปรับเงื่อนไขจะต้องหาข้อสรุปอีกครั้ง
"ขณะนี้ นักลงทุนยังได้สิทธิประโยชน์ของแอลทีเอฟไปถึงปี 59 ซึ่งต้นปีหน้า กระทรวงการคลังจะมีข้อสรุปชัดเจนว่า จะต่ออายุการลดภาษีลงทุนใน แอลทีเอฟ หรือไม่ ซึ่งยังไม่สายจนเกินไป เพราะนักลงทุนยังมีเวลาเพียงพอในการปรับตัวไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"
ทั้งนี้ยังได้หารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เรื่องการแก้ไขกฎหมายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยต้องดูให้รอบคอบเนื่องจาก ยังมีประเด็นที่ไม่ครบต้องทำเพิ่ม เพื่อให้การดำเนินการของ ตลท. มั่นคงรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์ในภูมิภาคอาเซียนซึ่งจะเกิดการลงทุนข้ามพรมแดนกันมากขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะเดินหน้าการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) ซึ่งที่ผ่านมีกฎหมายแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินการในทางปฏิบัติได้โดยจะต้องเข้าไปตรวจสอบดูว่าจะดำเนินการกองทุน เพื่อให้เปิดรับสมาชิกได้อย่างไรยืนยันว่าการดำเนินการของกองทุน กอช. จะไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของกองทุนอื่น ๆเพราะกองทุนดังกล่าว แยกประเภทผู้ออมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามการทำงบประมาณปี 59 จะต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้นมากจากงบประมาณปี 58 อย่างน้อย10-15% หรือเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 250,000-350,000 ล้านบาทเพราะมีความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเพราะงบประมาณการลงทุนของภาครัฐอยู่ระดับต่ำแค่ 5.5% เท่านั้น จากที่ผ่านมาอยู่ที่10% นอกจากนี้ จะต้องลงทุนด้านการพัฒนาสังคม ทั้งด้านสาธารณสุข และการศึกษาทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลในปี 59 และ 60
"ขณะนี้ นักลงทุนยังได้สิทธิประโยชน์ของแอลทีเอฟไปถึงปี 59 ซึ่งต้นปีหน้า กระทรวงการคลังจะมีข้อสรุปชัดเจนว่า จะต่ออายุการลดภาษีลงทุนใน แอลทีเอฟ หรือไม่ ซึ่งยังไม่สายจนเกินไป เพราะนักลงทุนยังมีเวลาเพียงพอในการปรับตัวไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"
ทั้งนี้ยังได้หารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เรื่องการแก้ไขกฎหมายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยต้องดูให้รอบคอบเนื่องจาก ยังมีประเด็นที่ไม่ครบต้องทำเพิ่ม เพื่อให้การดำเนินการของ ตลท. มั่นคงรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์ในภูมิภาคอาเซียนซึ่งจะเกิดการลงทุนข้ามพรมแดนกันมากขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะเดินหน้าการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) ซึ่งที่ผ่านมีกฎหมายแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินการในทางปฏิบัติได้โดยจะต้องเข้าไปตรวจสอบดูว่าจะดำเนินการกองทุน เพื่อให้เปิดรับสมาชิกได้อย่างไรยืนยันว่าการดำเนินการของกองทุน กอช. จะไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของกองทุนอื่น ๆเพราะกองทุนดังกล่าว แยกประเภทผู้ออมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามการทำงบประมาณปี 59 จะต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้นมากจากงบประมาณปี 58 อย่างน้อย10-15% หรือเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 250,000-350,000 ล้านบาทเพราะมีความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเพราะงบประมาณการลงทุนของภาครัฐอยู่ระดับต่ำแค่ 5.5% เท่านั้น จากที่ผ่านมาอยู่ที่10% นอกจากนี้ จะต้องลงทุนด้านการพัฒนาสังคม ทั้งด้านสาธารณสุข และการศึกษาทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลในปี 59 และ 60