ข้อตกลงเรื่องควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เห็นชอบกันในระหว่างการหารือที่ปักกิ่ง 2 วันเมื่อวันอังคาร (11 พ.ย.) และวันพุธ (12) ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับ 2 ประเทศผู้สร้างมลพิษสูงที่สุดของโลก ประกาศตัดสินใจที่จะเดินไปบนเส้นทางรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คอยดักจับความร้อน ซึ่งถูกประณามว่าเป็นตัวการสำคัญที่กำลังทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
สิ่งที่ประกาศออกมาในคราวนี้หมายความว่า สหรัฐฯกำลังตั้งเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานขึ้นกว่าเดิมมาก ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้าสู่บรรยากาศ โดยตามข้อตกลงนี้ โอบามากำหนดเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซไอเสียของสหรัฐฯลงให้ได้ระหว่าง 26 – 28% ภายในปี 2025 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่เคยปล่อยในปี 2005
พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันชี้ว่า สหรัฐฯนั้นกำลังไปได้สวยอยู่แล้ว ในการบรรลุเป้าที่โอบามาประกาศออกมาก่อนหน้านี้ นั่นคือลดการปล่อยก๊าซไอเสียลงให้ได้ 17% ภายในปี 2020 และการปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เช่นนี้ก็คือการที่สหรัฐฯจะต้องตัดลดมลพิษลงให้ได้อีกราวๆ เท่าตัวในช่วงเวลา 5 ปีจากปี 2020 ถึง 2025
สำหรับทางฝ่ายจีน ซึ่งกำลังมีการปล่อยไอเสียเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินแห่งใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อน ก็ตกลงที่จะกำหนดเป้าหมายให้แก่ตนเองเป็นครั้งแรก ว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาสูงที่สุดในประมาณปี 2030 หรือเร็วกว่านั้นอีกถ้าเป็นไปได้ จากนั้นก็จะสร้างมลพิษออกมาลดต่ำลงเรื่อยๆ
เห็นกันว่าถึงแม้เป้าหมายเช่นนี้เท่ากับยังคงอนุญาตให้จีนได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนปริมาณสูงๆ ออกสู่บรรยากาศไปอีก 16 ปี แต่นี่ก็ถือเป็นการที่ปักกิ่งขีดเส้นตายให้แก่ตนเองอย่างไม่เคยกระทำมาก่อนเลย
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯหรือจีนจะสามารถทำตามเป้าหมายของพวกตนนี้ได้อย่างไร หรือว่าการที่จีนยังคงปล่อยไอเสียเพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2030 นั้น จะกลายเป็นการลดทอนผลอันเกิดจากการตัดลดก๊าซคาร์บอนของสหรัฐฯอย่างไรหรือไม่
แต่กระนั้น ประกาศทั้งจากประธานาธิบดีโอบามาและประธานาธิบดีสี ก็สร้างความตื่นตะลึงให้แก่พวกนักสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้เคยเรียกร้องให้มีการปฏิบัติการลักษณะนี้ ทว่าไม่ค่อยเชื่อว่าจะบังเกิดขึ้นได้ สืบเนื่องจากจีนมีท่าทีลังเล เพราะกระทบกระเทือนกับการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง ส่วนโอบามาก็กำลังมีฐานะทางการเมืองที่อ่อนแอลงมาก จนน่าสงสัยว่าเขาจะผลักดันเรื่องนี้ได้แค่ไหน ในกรุงวอชิงตัน พวกสมาชิกรัฐสภารายสำคัญๆ ของพรรครีพับลิกัน ก็อยู่ในอาการงงงันไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน และแสดงปฏิกิริยาด้วยการออกมากล่าวหาโอบามาว่า กำลังสร้างพันธะที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ให้แก่ประธานาธิบดีอเมริกันคนต่อไป
สิ่งที่ประกาศออกมาในคราวนี้หมายความว่า สหรัฐฯกำลังตั้งเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานขึ้นกว่าเดิมมาก ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้าสู่บรรยากาศ โดยตามข้อตกลงนี้ โอบามากำหนดเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซไอเสียของสหรัฐฯลงให้ได้ระหว่าง 26 – 28% ภายในปี 2025 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่เคยปล่อยในปี 2005
พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันชี้ว่า สหรัฐฯนั้นกำลังไปได้สวยอยู่แล้ว ในการบรรลุเป้าที่โอบามาประกาศออกมาก่อนหน้านี้ นั่นคือลดการปล่อยก๊าซไอเสียลงให้ได้ 17% ภายในปี 2020 และการปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เช่นนี้ก็คือการที่สหรัฐฯจะต้องตัดลดมลพิษลงให้ได้อีกราวๆ เท่าตัวในช่วงเวลา 5 ปีจากปี 2020 ถึง 2025
สำหรับทางฝ่ายจีน ซึ่งกำลังมีการปล่อยไอเสียเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินแห่งใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อน ก็ตกลงที่จะกำหนดเป้าหมายให้แก่ตนเองเป็นครั้งแรก ว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาสูงที่สุดในประมาณปี 2030 หรือเร็วกว่านั้นอีกถ้าเป็นไปได้ จากนั้นก็จะสร้างมลพิษออกมาลดต่ำลงเรื่อยๆ
เห็นกันว่าถึงแม้เป้าหมายเช่นนี้เท่ากับยังคงอนุญาตให้จีนได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนปริมาณสูงๆ ออกสู่บรรยากาศไปอีก 16 ปี แต่นี่ก็ถือเป็นการที่ปักกิ่งขีดเส้นตายให้แก่ตนเองอย่างไม่เคยกระทำมาก่อนเลย
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯหรือจีนจะสามารถทำตามเป้าหมายของพวกตนนี้ได้อย่างไร หรือว่าการที่จีนยังคงปล่อยไอเสียเพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2030 นั้น จะกลายเป็นการลดทอนผลอันเกิดจากการตัดลดก๊าซคาร์บอนของสหรัฐฯอย่างไรหรือไม่
แต่กระนั้น ประกาศทั้งจากประธานาธิบดีโอบามาและประธานาธิบดีสี ก็สร้างความตื่นตะลึงให้แก่พวกนักสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้เคยเรียกร้องให้มีการปฏิบัติการลักษณะนี้ ทว่าไม่ค่อยเชื่อว่าจะบังเกิดขึ้นได้ สืบเนื่องจากจีนมีท่าทีลังเล เพราะกระทบกระเทือนกับการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง ส่วนโอบามาก็กำลังมีฐานะทางการเมืองที่อ่อนแอลงมาก จนน่าสงสัยว่าเขาจะผลักดันเรื่องนี้ได้แค่ไหน ในกรุงวอชิงตัน พวกสมาชิกรัฐสภารายสำคัญๆ ของพรรครีพับลิกัน ก็อยู่ในอาการงงงันไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน และแสดงปฏิกิริยาด้วยการออกมากล่าวหาโอบามาว่า กำลังสร้างพันธะที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ให้แก่ประธานาธิบดีอเมริกันคนต่อไป