พรรครีพับลิกันกำลังมีโอกาสสูงลิ่วจะกลายเป็นผู้ควบคุมเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา จากการเลือกตั้งกลางสมัยของสหรัฐฯซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันอังคาร (4 พ.ย.) นี้ โดยที่นอกจากพวกเขาจะรักษาฐานะมีที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว พรรคฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา พรรคนี้ยังน่าจะเป็นฝ่ายมีชัยในการแข่งขันชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในมลรัฐสำคัญๆ และสามารถเพิ่มเก้าอี้ให้ตนเองจนได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาสูงอีกด้วย
บารัค โอบามา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 โดยที่พรรคเดโมแครตของเขาครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่เมื่อถึงปี 2010 หรือครึ่งทางของการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของเขา เดโมแครตกลับต้องสูญเสียอำนาจควบคุมสภาล่าง สืบเนื่องจากกระแสกลุ่มอนุรักษนิยมจัด “ทีปาร์ตี้” ของรีพับลิกัน
คะแนนนิยมล่าสุดในตัวโอบามาเวลานี้ ตกลงมาที่อยู่ที่กว่า 40% เพียงเล็กน้อย และเรื่องนี้ก็กำลังมีส่วนสำคัญในการทำให้เดโมแครตตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งคราวนี้ จนกระทั่งผู้สมัครส่วนใหญ่เลือกไม่เชิญประธานาธิบดีผู้นี้ไปช่วยปราศรัยเรียกคะแนน
มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำรีพับลิกันในวุฒิสภา กล่าวแสดงความหวังกับผลโพลที่ออกมาในทางให้กำลังใจ ระหว่างที่เขาหาเสียงเพื่อเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเคนทักกีอีกสมัย โดยที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยกับการท้าทายกระแสแรงทีเดียวจาก อลิสัน ลันเดอร์แกน กริมส์ ผู้สมัครของเดโมแครต
"เราคาดว่าจะชนะ” แมคคอนเนลล์บอก พร้อมกับย้ำประเด็นที่รีพับลิกันพยายามชูในการรณรงค์หาเสียงคราวนี้ นั่นคือ ถึงแม้ประธานาธิบดีโอบามาไม่ได้ลงแข่งขันด้วย แต่ “การเลือกตั้งครั้งนี้ ที่สำคัญแล้วเป็นการลงประชามติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีของสหรัฐฯผู้นี้”
แม้การเลือกตั้งในวันอังคาร จะมีการชิงเก้าอี้ในสภาล่างทั้ง 435 ที่นั่ง และผู้ว่าการมลรัฐ 36 รัฐด้วย แต่จุดสนใจของผู้คนทั่วไปพุ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจำนวน 33 ที่นั่ง โดยที่รีพับลิกันต้องการที่นั่งสุทธิเพิ่มขึ้น 6 ที่นั่ง ก็จะสามารถได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาสูงชุดใหม่ที่มีกำหนดเริ่มเปิดประชุมทำงานกันเดือนมกราคมปีหน้า
รีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาล่างมา 2 สมัยหรือ 4 ปีแล้ว คาดกันอย่างกว้างขวางว่าจะสามารถควบคุมสภาผู้แทนราษฎรได้ต่อไปอีก 2 ปี โดยน่าจะได้ที่นั่งมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และยิ่งเมื่อบวกกับการได้วุฒิสภามาไว้ในกำมือด้วยแล้ว ย่อมจะส่งผลอย่างสำคัญต่อการบริหารประเทศของโอบามาในวาระอีก 2 ปีที่เหลืออยู่ของเขา
บารัค โอบามา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 โดยที่พรรคเดโมแครตของเขาครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่เมื่อถึงปี 2010 หรือครึ่งทางของการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของเขา เดโมแครตกลับต้องสูญเสียอำนาจควบคุมสภาล่าง สืบเนื่องจากกระแสกลุ่มอนุรักษนิยมจัด “ทีปาร์ตี้” ของรีพับลิกัน
คะแนนนิยมล่าสุดในตัวโอบามาเวลานี้ ตกลงมาที่อยู่ที่กว่า 40% เพียงเล็กน้อย และเรื่องนี้ก็กำลังมีส่วนสำคัญในการทำให้เดโมแครตตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งคราวนี้ จนกระทั่งผู้สมัครส่วนใหญ่เลือกไม่เชิญประธานาธิบดีผู้นี้ไปช่วยปราศรัยเรียกคะแนน
มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำรีพับลิกันในวุฒิสภา กล่าวแสดงความหวังกับผลโพลที่ออกมาในทางให้กำลังใจ ระหว่างที่เขาหาเสียงเพื่อเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเคนทักกีอีกสมัย โดยที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยกับการท้าทายกระแสแรงทีเดียวจาก อลิสัน ลันเดอร์แกน กริมส์ ผู้สมัครของเดโมแครต
"เราคาดว่าจะชนะ” แมคคอนเนลล์บอก พร้อมกับย้ำประเด็นที่รีพับลิกันพยายามชูในการรณรงค์หาเสียงคราวนี้ นั่นคือ ถึงแม้ประธานาธิบดีโอบามาไม่ได้ลงแข่งขันด้วย แต่ “การเลือกตั้งครั้งนี้ ที่สำคัญแล้วเป็นการลงประชามติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีของสหรัฐฯผู้นี้”
แม้การเลือกตั้งในวันอังคาร จะมีการชิงเก้าอี้ในสภาล่างทั้ง 435 ที่นั่ง และผู้ว่าการมลรัฐ 36 รัฐด้วย แต่จุดสนใจของผู้คนทั่วไปพุ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจำนวน 33 ที่นั่ง โดยที่รีพับลิกันต้องการที่นั่งสุทธิเพิ่มขึ้น 6 ที่นั่ง ก็จะสามารถได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาสูงชุดใหม่ที่มีกำหนดเริ่มเปิดประชุมทำงานกันเดือนมกราคมปีหน้า
รีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาล่างมา 2 สมัยหรือ 4 ปีแล้ว คาดกันอย่างกว้างขวางว่าจะสามารถควบคุมสภาผู้แทนราษฎรได้ต่อไปอีก 2 ปี โดยน่าจะได้ที่นั่งมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และยิ่งเมื่อบวกกับการได้วุฒิสภามาไว้ในกำมือด้วยแล้ว ย่อมจะส่งผลอย่างสำคัญต่อการบริหารประเทศของโอบามาในวาระอีก 2 ปีที่เหลืออยู่ของเขา