ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ ในกลุ่มผู้สูงอายุโดยสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ในปี 2555 พบว่าคนไทยอายุ 60–80 ปี ร้อยละ 57 มีฟันแท้ 20 ซี่ขึ้นไป เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ยังมีร้อยละ 7.2 ที่สูญเสียฟันทั้งปาก และร้อยละ 2.5 ที่จำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 245,000 คน สำหรับการทำความสะอาดฟันเทียมพบว่า ร้อยละ 70 ใช้วิธีแปรงฟันเทียม ร้อยละ 14 ใช้วิธีล้างน้ำเปล่า ร้อยละ 3 ล้างน้ำยาเฉพาะ และร้อยละ 6 ไม่เคยทำความสะอาดฟันเลย
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า การใส่ฟันเทียมฟันเทียมมีทั้งแบบติดแน่นและแบบถอดได้ ซึ่งฟันเทียมแบบถอดได้มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นมักจะหลวม ไม่กระชับกับสันเหงือก เนื่องจากเหงือกยุบตัวลงจากแรงบดเคี้ยวอาหาร จึงควรเปลี่ยนฟันเทียมใหม่หรือเสริมฐานฟันเทียมให้กระชับเหงือก ซึ่งประชาชนสามารถทำความสะอาดฟันเทียมเพื่อให้มีอายุการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ 3 วิธี วิธีที่หนึ่งคือ ทำความสะอาดฟันเทียมด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มร่วมกับการใช้น้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจานแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีที่สองคือ ทำความสะอาดฟันเทียมด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม ร่วมกับยาสีฟันชนิดครีม แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรใช้ยาสีฟันชนิดผงหรือที่มีส่วนประกอบเป็นผงขัด เพราะจะทำให้ฟันเทียมที่เป็นพลาสติกเสื่อมอย่างรวดเร็ว และวิธีสุดท้ายคือ หากใช้ฟันเทียมมานานจนเกิดคราบสีน้ำตาล มีคราบบุหรี่หรือคราบอาหารที่ล้างไม่ออก ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากได้ ให้ใช้เม็ดฟู่สำหรับแช่ทำความสะอาดฟันเทียมเป็นครั้งคราว ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามคลินิกทันตกรรม ร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป
"ผู้ใส่ฟันเทียมต้องถอดฟันเทียมออกมาแช่น้ำก่อนนอนทุกครั้ง เพื่อให้เนื้อเยื่อในช่องปากได้พักจากการกดทับบ้าง และต้องนำฟันเทียมแช่น้ำสะอาดทุกครั้ง ห้ามวางทิ้งไว้เฉยๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ฟันเทียมแห้งและหดตัว และไม่ควรใช้น้ำร้อนในการแช่ เพราะจะทำให้ฟันเทียมเกิดการบิดเบี้ยวจนใช้งานไม่ได้ ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ใส่ฟันเทียมบางส่วนที่ยังมีฟันธรรมชาติเหลืออยู่ ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดช่องปากด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วยการแปรงฟันตามสูตร 222 ของกรมอนามัย คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์นานครั้งละ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง หลังแปรงฟันควรงดขนมหวาน น้ำอัดลม 2 ชั่วโมง รวมทั้งทำความสะอาดบริเวณซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน ถ้ามีช่องว่างระหว่างซี่ฟันควรใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดเสริมด้วย เพื่อลดโอกาสที่จะสูญเสียฟันเพิ่มขึ้น” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว ในที่สุด
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า การใส่ฟันเทียมฟันเทียมมีทั้งแบบติดแน่นและแบบถอดได้ ซึ่งฟันเทียมแบบถอดได้มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นมักจะหลวม ไม่กระชับกับสันเหงือก เนื่องจากเหงือกยุบตัวลงจากแรงบดเคี้ยวอาหาร จึงควรเปลี่ยนฟันเทียมใหม่หรือเสริมฐานฟันเทียมให้กระชับเหงือก ซึ่งประชาชนสามารถทำความสะอาดฟันเทียมเพื่อให้มีอายุการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ 3 วิธี วิธีที่หนึ่งคือ ทำความสะอาดฟันเทียมด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มร่วมกับการใช้น้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจานแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีที่สองคือ ทำความสะอาดฟันเทียมด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม ร่วมกับยาสีฟันชนิดครีม แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรใช้ยาสีฟันชนิดผงหรือที่มีส่วนประกอบเป็นผงขัด เพราะจะทำให้ฟันเทียมที่เป็นพลาสติกเสื่อมอย่างรวดเร็ว และวิธีสุดท้ายคือ หากใช้ฟันเทียมมานานจนเกิดคราบสีน้ำตาล มีคราบบุหรี่หรือคราบอาหารที่ล้างไม่ออก ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากได้ ให้ใช้เม็ดฟู่สำหรับแช่ทำความสะอาดฟันเทียมเป็นครั้งคราว ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามคลินิกทันตกรรม ร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป
"ผู้ใส่ฟันเทียมต้องถอดฟันเทียมออกมาแช่น้ำก่อนนอนทุกครั้ง เพื่อให้เนื้อเยื่อในช่องปากได้พักจากการกดทับบ้าง และต้องนำฟันเทียมแช่น้ำสะอาดทุกครั้ง ห้ามวางทิ้งไว้เฉยๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ฟันเทียมแห้งและหดตัว และไม่ควรใช้น้ำร้อนในการแช่ เพราะจะทำให้ฟันเทียมเกิดการบิดเบี้ยวจนใช้งานไม่ได้ ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ใส่ฟันเทียมบางส่วนที่ยังมีฟันธรรมชาติเหลืออยู่ ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดช่องปากด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วยการแปรงฟันตามสูตร 222 ของกรมอนามัย คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์นานครั้งละ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง หลังแปรงฟันควรงดขนมหวาน น้ำอัดลม 2 ชั่วโมง รวมทั้งทำความสะอาดบริเวณซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน ถ้ามีช่องว่างระหว่างซี่ฟันควรใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดเสริมด้วย เพื่อลดโอกาสที่จะสูญเสียฟันเพิ่มขึ้น” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว ในที่สุด