นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน)(EFORL) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2557 ของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้รวม 248 ล้านบาท กำไรสุทธิ 52.8 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2557 ที่มีรายได้รวม 203 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 46.4 ล้านบาท โตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2556 และมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าปี 2556 ทั้งปี ที่มียอดขาย 171 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 26.46 ล้านบาท
สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 451.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 412.95 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการขายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวน 433.20 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ซื้อสินค้ามาเพื่อขายและเพิ่มทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้จึงเป็นผลให้ต้นทุนขายและบริการ อย่างไรก็ตามบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีต้นทุนขายและบริการเพิ่มขึ้นจำนวน 257.47 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจำนวน 56.94 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2556
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผลการดำเนินงาน สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 99.77 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 101.64 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน
“การที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง เป็นการสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่มีความมั่นคงและมีอนาคตที่ดี ทีมผู้บริหาร EFORL มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะมีความโดดเด่นและจะไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง และจะมีการขยายธุรกิจออกไปจากเดิมเพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ EFORL เองที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในส่วนของการจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์มากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทมีใบอนุญาตนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์อยู่ที่ 32 ใบอนุญาตแล้ว”นายธีรวุทธิ์ กล่าว
“บริษัทยังยืนยันเป้าหมายรายได้รวม 1,500 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักยังมาจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้นำตลาด เช่น Hamilton, GE, Nihon Kohden และ Olympus เป็นต้น และล่าสุดบริษัทได้ซื้อหุ้นของ ของบริษัท แดทโซ เอเชีย คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม QUADRA จากประเทศอิตาลี ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ในครึ่งปีหลังให้เติบโตมากยิ่งขึ้น”นายธีรวุทธิ์ กล่าวในที่สุด
สำหรับความคืบหน้าการซื้อหุ้น บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ยังเป็นไปตามขั้นตอนการทำ Due Diligence และการชำระเงิน (Closing Date) ซึ่งการซื้อหุ้นในครั้งนี้จะช่วยเสริมจุดแข็งของบริษัทให้มีบริการในธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์สุขภาพและความงามครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 451.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 412.95 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการขายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวน 433.20 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ซื้อสินค้ามาเพื่อขายและเพิ่มทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้จึงเป็นผลให้ต้นทุนขายและบริการ อย่างไรก็ตามบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีต้นทุนขายและบริการเพิ่มขึ้นจำนวน 257.47 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจำนวน 56.94 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2556
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผลการดำเนินงาน สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 99.77 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 101.64 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน
“การที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง เป็นการสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่มีความมั่นคงและมีอนาคตที่ดี ทีมผู้บริหาร EFORL มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะมีความโดดเด่นและจะไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง และจะมีการขยายธุรกิจออกไปจากเดิมเพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ EFORL เองที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในส่วนของการจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์มากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทมีใบอนุญาตนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์อยู่ที่ 32 ใบอนุญาตแล้ว”นายธีรวุทธิ์ กล่าว
“บริษัทยังยืนยันเป้าหมายรายได้รวม 1,500 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักยังมาจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้นำตลาด เช่น Hamilton, GE, Nihon Kohden และ Olympus เป็นต้น และล่าสุดบริษัทได้ซื้อหุ้นของ ของบริษัท แดทโซ เอเชีย คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม QUADRA จากประเทศอิตาลี ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ในครึ่งปีหลังให้เติบโตมากยิ่งขึ้น”นายธีรวุทธิ์ กล่าวในที่สุด
สำหรับความคืบหน้าการซื้อหุ้น บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ยังเป็นไปตามขั้นตอนการทำ Due Diligence และการชำระเงิน (Closing Date) ซึ่งการซื้อหุ้นในครั้งนี้จะช่วยเสริมจุดแข็งของบริษัทให้มีบริการในธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์สุขภาพและความงามครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
