นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ค โดยระบุว่า ข้อมูลของเพจ "ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง" ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าน้ำมันแพงเกิดจาก "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ของข้าราชการที่มีหน้าที่กำกับดูแลราคาพลังงานแต่ไปนั่งรับโบนัส เบี้ยประชุมปีละหลายล้านบาทจากบริษัทพลังงานในเครือปตท. และยังช่วยกันชงสูตรทางคณิตศาสตร์ให้กับราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยบวกค่าใช้จ่ายเทียมเข้ามาในราคาเนื้อน้ำมันเป็นราคาเทียบเท่าการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์ ทั้งๆที่น้ำมันกลั่นในประเทศทั้งหมด แต่คนไทยต้องซื้อน้ำมันในราคาเสมือนว่านำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ ซึ่งเอากำไรจากประชาชนเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัวตลอด10ปีที่ผ่านมา
มาถึงวันนี้ยังไม่อิ่ม คนกลุ่มเดิมๆที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เตรียมชงวิธีลดราคาน้ำมันแบบ"นักมายากลทางคณิตศาสตร์"อีกแล้ว
ข้อเสนอให้ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากเบนซิน3บาท และไปเก็บจากดีเซลและLPG แทน คนใช้เบนซินดีใจที่ได้ลดราคา3บาท แต่ภาระหนักไปตกที่คนใช้ดีเซล และจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่ต้นทุนสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน
ประธานคสช.โปรดระวัง "ตรรกะบริโภค" ที่คนกลุ่มนี้ชอบสร้างขึ้นอำพรางความต้องการที่แท้จริงของตน คือจะอ้างเหตุผลว่าดีเซลและLPGเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่คนรวยใช้ ส่วนเบนซินเป็นน้ำมันที่คนจนใช้ เพราะมอเตอร์ไซด์ก็ใช้เบนซิน! หรือตรรกะบริโภคอีกชุดหนึ่งคือ "คนไทยต้องซื้อน้ำมันแพงจะได้ประหยัด ส่วนน้ำมันส่งออกต้องขายถูกเพราะต้องแข่งขันกับคนอื่น! "
altแต่เหตุผลที่แท้จริงคือต้องการรีดกำไรจากคนไทยอีกเพราะเป็นวิธีง่ายที่สุด ทำไมจึงต้องการขึ้นราคาดีเซลเพราะปริมาณดีเซลที่ใช้กันวันละเกือบ60ล้านลิตร หรือปีละ2.2หมื่นล้านลิตร ถ้าขึ้นราคาได้สัก3บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันจะมีเงินเพิ่มขึ้นปีละ6.6หมื่นล้านบาท เมื่อลดเบนซินลงไปลิตรละ3บาท ก็ลดไปปีละ2.7หมื่นล้านบาท หักลบแล้วกองทุนน้ำมันมีเงินเพิ่มขึ้นปีเกือบ4หมื่นล้านบาท รายได้จากกองทุนน้ำมันทั้งหมดถูกส่งต่อไปให้ปตท.เพียงรายเดียว จึงควรเรียกว่ากองทุนน้ำมันว่าเป็น"กองทุนอำพรางระดับกำไรของปตท."
ขอให้ท่านประธานคสช.โปรดพิจารณาว่า น้ำมันและก๊าซควรเป็นกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานดังที่ ในอดีตเคยกำหนดเป็นหลักการไว้ว่าต้องทำให้มีต้นทุนต่ำที่สุด หรือควรปล่อยให้เป็นกิจการหากำไรที่ไม่สิ้นสุดให้กับกลุ่มทุนและผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บนหลังและบ่าของประชาชนอย่างนี้ต่อไปหรือไม่?
กำไรปีละ 200,000 กว่าล้านบาทของบริษัทในเครือปตท.ยังไม่อิ่มหนำสำราญพออีกหรือ?!?
เป็นรายงานกำไรเบ็ดเสร็จปี 2556 ของกลุ่มปตท. เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์ จำนวนมหาศาลมากกว่า 200,000 ล้านบาท
หลังการแปรรูปปตท.ครั้งที่ 1 ปลายปี 2544 ข้าราชการกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีประโยชน์ทับซ้อน เป็นกรรมการกลุ่มปตท.ด้วย ( ดูรูปคร้งที่ 11 ) ได้ร่วมกันตั้งราคาขายส่งน้ำมันหน้าโรงกลั่น ให้แพงสูงกว่าสิงคโปร ( เริ่ม 13 กพ.2546 ) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มปตท.เอากำไรจากประชาชนเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
ตัวเลขกำไรนี้เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ปริมาณ 29,000 ล้านลิตรต่อปี จะเท่ากับประมาณมากกว่า 8 บาทต่อลิตร
การลดราคาน้ำมันจึงต้่องเอาจากเงินกำไรปตท.(ลดราคาขายส่งลง) ไม่ใช้จากการลดภาษีซึ่งเป็นเงินของประชาชน ตามที่กลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนพยายาม เสนอต่อหัวหน้าคสช.
อนึ่ง .. กลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนนี้กำลังพยายามแปรรูป ขายสมบัติชาติครั้งที่ 2 อีก !!!
มาถึงวันนี้ยังไม่อิ่ม คนกลุ่มเดิมๆที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เตรียมชงวิธีลดราคาน้ำมันแบบ"นักมายากลทางคณิตศาสตร์"อีกแล้ว
ข้อเสนอให้ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากเบนซิน3บาท และไปเก็บจากดีเซลและLPG แทน คนใช้เบนซินดีใจที่ได้ลดราคา3บาท แต่ภาระหนักไปตกที่คนใช้ดีเซล และจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่ต้นทุนสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน
ประธานคสช.โปรดระวัง "ตรรกะบริโภค" ที่คนกลุ่มนี้ชอบสร้างขึ้นอำพรางความต้องการที่แท้จริงของตน คือจะอ้างเหตุผลว่าดีเซลและLPGเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่คนรวยใช้ ส่วนเบนซินเป็นน้ำมันที่คนจนใช้ เพราะมอเตอร์ไซด์ก็ใช้เบนซิน! หรือตรรกะบริโภคอีกชุดหนึ่งคือ "คนไทยต้องซื้อน้ำมันแพงจะได้ประหยัด ส่วนน้ำมันส่งออกต้องขายถูกเพราะต้องแข่งขันกับคนอื่น! "
altแต่เหตุผลที่แท้จริงคือต้องการรีดกำไรจากคนไทยอีกเพราะเป็นวิธีง่ายที่สุด ทำไมจึงต้องการขึ้นราคาดีเซลเพราะปริมาณดีเซลที่ใช้กันวันละเกือบ60ล้านลิตร หรือปีละ2.2หมื่นล้านลิตร ถ้าขึ้นราคาได้สัก3บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันจะมีเงินเพิ่มขึ้นปีละ6.6หมื่นล้านบาท เมื่อลดเบนซินลงไปลิตรละ3บาท ก็ลดไปปีละ2.7หมื่นล้านบาท หักลบแล้วกองทุนน้ำมันมีเงินเพิ่มขึ้นปีเกือบ4หมื่นล้านบาท รายได้จากกองทุนน้ำมันทั้งหมดถูกส่งต่อไปให้ปตท.เพียงรายเดียว จึงควรเรียกว่ากองทุนน้ำมันว่าเป็น"กองทุนอำพรางระดับกำไรของปตท."
ขอให้ท่านประธานคสช.โปรดพิจารณาว่า น้ำมันและก๊าซควรเป็นกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานดังที่ ในอดีตเคยกำหนดเป็นหลักการไว้ว่าต้องทำให้มีต้นทุนต่ำที่สุด หรือควรปล่อยให้เป็นกิจการหากำไรที่ไม่สิ้นสุดให้กับกลุ่มทุนและผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บนหลังและบ่าของประชาชนอย่างนี้ต่อไปหรือไม่?
กำไรปีละ 200,000 กว่าล้านบาทของบริษัทในเครือปตท.ยังไม่อิ่มหนำสำราญพออีกหรือ?!?
เป็นรายงานกำไรเบ็ดเสร็จปี 2556 ของกลุ่มปตท. เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์ จำนวนมหาศาลมากกว่า 200,000 ล้านบาท
หลังการแปรรูปปตท.ครั้งที่ 1 ปลายปี 2544 ข้าราชการกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีประโยชน์ทับซ้อน เป็นกรรมการกลุ่มปตท.ด้วย ( ดูรูปคร้งที่ 11 ) ได้ร่วมกันตั้งราคาขายส่งน้ำมันหน้าโรงกลั่น ให้แพงสูงกว่าสิงคโปร ( เริ่ม 13 กพ.2546 ) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มปตท.เอากำไรจากประชาชนเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
ตัวเลขกำไรนี้เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ปริมาณ 29,000 ล้านลิตรต่อปี จะเท่ากับประมาณมากกว่า 8 บาทต่อลิตร
การลดราคาน้ำมันจึงต้่องเอาจากเงินกำไรปตท.(ลดราคาขายส่งลง) ไม่ใช้จากการลดภาษีซึ่งเป็นเงินของประชาชน ตามที่กลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนพยายาม เสนอต่อหัวหน้าคสช.
อนึ่ง .. กลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนนี้กำลังพยายามแปรรูป ขายสมบัติชาติครั้งที่ 2 อีก !!!