xs
xsm
sm
md
lg

ศาล ปค.ยกฟ้องคดีชาวนครปฐมฟ้อง"ปู"บริหารจัดการน้ำผิดพลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันนี้ (16 ก.ค.) ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ส.23/2555 ที่นางสุทธิรักษ์ ทองวานิช พร้อมพวกชาวบ้านในจังหวัดนครปฐมรวม 10 ราย ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ดำรงตำแหน่งขณะนั้น) ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รัฐมนตีรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทาน กระทรวงหมาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้อง ที่ 1 - 11
ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จากกรณีที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1-11 บริหารจัดการน้ำผิดพลาด ทำให้มวลน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลสู่พื้นที่ต่ำออกสู่ทะเล ซึ่งผ่านแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง
นอกจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีได้ปิดกันประตูระบายน้ำ วางสิ่งกีดขวางทางน้ำ เป็นเหตุให้น้ำไม่ไหลไปตามทิศทางตามธรรมชาติ ทำให้น้ำท่วมขังบริเวณจังหวัดนครปฐม ทั้งยังส่งกลิ่นเน่าเหม็นและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย พร้อมขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย จำนวนกว่า 3.7 ล้านบาท และจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วม
ขณะที่ระหว่างการพิจารณานายวิชัย ชัยพัฒนศักดิ์ ผู้ฟ้องที่ 9 ได้ขอถอนฟ้อง จึงเหลือแค่ผู้ฟ้องที่ 1-8 และ 10 เท่านั้น
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน -ตุลาคม 2554 ประเทศไทยเกิดพายุโซนร้อนและมรสุมจำนวนหลายลูกในตอนบนของไทย รวมทั้งเกิดน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับสถานที่ต่างๆ และบ้านเรือนประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งที่พักอาศัยของผู้ฟ้อง โดยมีปริมาณน้ำสะสมในเขื่อนต่างๆ อาทิ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอื่นๆ มากที่สุดในรอบหลายปี
โดยผู้ถูกฟ้องมีความพยายามในการระบายน้ำในระดับสูงสุดและต่ำสุดให้เหมาะสมแล้ว แต่ขณะเดียวกันระหว่างนั้นประตูระบายน้ำบางโฉมศรีได้พังทลายลงเป็นแห่งแรก และประตูระบายน้ำแห่งอื่นๆ พังทลายลงตามมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลาง รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ถูกน้ำท่วมด้วย
ระหว่างนั้นผู้ถูกฟ้องได้ดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่ กทม. เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ การวางแนวกระสอบทรายขนาดใหญ่หรือบิ๊กแบ็คเป็นระยะทางยาวตั้งแต่สถานีตำรวจดอนเมืองไปจนถึงประตูระบายน้ำคลอง 2 รวมทั้งการยกระดับถนนสูง 6 เมตร
ขณะที่การวางแนวป้องกันดังกล่าวบริเวณที่พักอาศัยของผู้ฟ้องที่ 1-8 และ 10 ไม่ได้กระทบโดยตรงซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.นครไชยศรี และ อ.สามพราน เพราะน้ำบริเวณดังกล่าวสามารถไหลลงสู่คลองทวีวัฒนาก่อนที่จะเข้าจังหวัดนครปฐม และไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้ จึงเป็นการวางแนวป้องกันน้ำฝั่งตะวันออกและเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบพื้นที่ กทม.ชั้นใน และพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศ มิใช่การเลือกปฏิบัติที่จะป้องกันพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ขณะที่ผู้ถูกฟ้องได้ดำเนินการมาตรการเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ 5,000 บาทต่อหลังคาเรือนแล้ว รวมทั้งมาตรการเยียวยาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและคำสั่งอื่นๆ
การกระทำของผู้ถูกฟ้องจึงยังไม่เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.420 และไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำล่าช้าเกินสมควร และไม่มีเหตุต้องชดใช้ค่าเสียหาย จึงพิพากษายกฟ้อง
ด้านนางอภิญญา ชูสว่าง ผู้ฟ้องคดีที่ 3 กล่าวว่า ตนเคารพในคำพิพากษาของศาล แต่ในฐานะประชาชนผู้เสียหายเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ซึ่งเงินช่วยเหลือที่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมเสียหายตนก็ไม่ได้รับแต่อย่างใด รวมทั้งเห็นว่ารัฐบาลบริหารจัดการน้ำไม่ถูกต้อง บ้านตนถูกน้ำท่วมสูงถึง 1.50 เมตร ภายในระยะเวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เก็บข้าวขาวอพยพหนีออกมาไม่ทัน หากเกิดจากน้ำท่วมโดยธรรมชาติไม่น่าจะรวดเร็วขนาดนี้ อีกทั้งบ้านตนถูกน้ำท่วมก่อนที่จะสร้างแนวเสริมคันกั้นน้ำด้วย โดยสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาล
ขณะที่นายไอศูรย์ วิภูอัศธาดา ผู้รับมอบอำนาจจากทนายความผู้ฟ้องคดี เปิดเผยว่า หลังจากนี้คงจะต้องปรึกษากับทนายความและผู้ฟ้องคดีอีกครั้ง ว่าจะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น