ปฏิบัติการค้นหาเที่ยวบิน MH370 ที่ไร้ประโยชน์ กระตุ้นให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดต่างๆมากมายเกี่ยวกับชะตากรรมของเครื่องบิน หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดตัวหนังสือชี้ว่ามันถูกยิงตกระหว่างการซ้อมรบร่วมระหว่างกองทัพไทยกับสหรัฐฯ ล่าสุดภาพยนตร์ 2 เรื่องและแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งต่างก็นำเสนอข้อสันนิษฐานของตนเอง ไล่ตั้งแต่เป็นการจัดฉากของซีไอเอไปจนถึงเป็นการลงมือของผู้โดยสารบนเครื่อง
ทฤษฎีเตลิดเปิดเปิงเหล่านี้ยังรวมไปถึงเครื่องบินถูกตอลิบานจี้และโดนอุกกาบาตพุ่งชน ซึ่งปรากฏออกมาเพื่อเติมเต็มสุญญากาศทางข้อมูลข่าวสารกว่า 2 เดือนนับตั้งแต่เครื่องบินพร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คน หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั่วเอเชียตะเกียกตะกายค้นหาคำตอบว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่
เบื้องต้นการคาดเดาต่างๆนานาสิ้นสุดลง หลังจากมาเลเซียแถลงในช่วงปลายเดือนมีนาคม เชื่อว่าเครื่องบินตกลงในมหาสุทรอินเดียโดยไม่ทราบต้นเหตุ แต่ข้อสันนิษฐานทั้งหลายก็ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง สืบเนื่องจากปฏิบติการค้นหานานาชาติล้มเหลว ไม่พบเจอซากเครื่องบินใดๆ
ในบล็อกที่โพสต์เมื่อวันอาทิตย์(18) มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด ยอมรับว่าเขาให้น้ำหนักกับข่าวลือทางโลกออนไลน์ที่เชื่อว่าโบอิ้ง777 ปล่อยให้มีการควบคุมเครื่องบินจากระยะไกล
โดยอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียวัย 88 ปีรายนี้เชื่อว่าสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ(ซีไอเอ) อาจเข้าควบคุมเครื่องบินที่ผลิตโดยอเมริกาลำนี้ หลังจากมันถูกควบคุมโดยพวกก่อการร้าย พร้อมบอกต่อมีความเป็นไปได้ว่า เครื่องบินอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งและมีการลบสัญลักษณ์ MAS(มาเลเซีย แอร์ไลน์ส) ออกไปแล้ว "มีใครบางคนปกปิดอะไรบางอย่าง ไม่ยุติธรรมเลยที่มาเลเซีย แอร์ไลน์สและทางการมาเลเซียต้องถูกกล่าวโทษ มีเหตุผลบางอย่างที่สื่อมวลชนไม่ยอมนำเสนอข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับโบอิ้งและซีไอเอเลย"
ภาพยนตร์ 2 เรื่องที่เกี่ยวกับ MH370 ถูกนำออกฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์(18) ที่่ผ่านมา หนึ่งในนั้นเป็นแนวระทึกขวัญเรื่อง "The Vanishing Act" โดยหนังตัวอย่างเป็นภาพของเหล่าผู้โดยสารที่กำลังตื่นตระหนกและพบเห็นชายคนหนึ่งมืออาวุธปืน ก่อนปิดท้ายด้วยภาพเครื่องบินกำลังเหินเวหาอยู่เหนือก่อนเมฆ พร้อมกับข้อความว่า "the untold story of the missing Malaysian plane"
ทฤษฎีเตลิดเปิดเปิงเหล่านี้ยังรวมไปถึงเครื่องบินถูกตอลิบานจี้และโดนอุกกาบาตพุ่งชน ซึ่งปรากฏออกมาเพื่อเติมเต็มสุญญากาศทางข้อมูลข่าวสารกว่า 2 เดือนนับตั้งแต่เครื่องบินพร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คน หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั่วเอเชียตะเกียกตะกายค้นหาคำตอบว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่
เบื้องต้นการคาดเดาต่างๆนานาสิ้นสุดลง หลังจากมาเลเซียแถลงในช่วงปลายเดือนมีนาคม เชื่อว่าเครื่องบินตกลงในมหาสุทรอินเดียโดยไม่ทราบต้นเหตุ แต่ข้อสันนิษฐานทั้งหลายก็ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง สืบเนื่องจากปฏิบติการค้นหานานาชาติล้มเหลว ไม่พบเจอซากเครื่องบินใดๆ
ในบล็อกที่โพสต์เมื่อวันอาทิตย์(18) มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด ยอมรับว่าเขาให้น้ำหนักกับข่าวลือทางโลกออนไลน์ที่เชื่อว่าโบอิ้ง777 ปล่อยให้มีการควบคุมเครื่องบินจากระยะไกล
โดยอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียวัย 88 ปีรายนี้เชื่อว่าสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ(ซีไอเอ) อาจเข้าควบคุมเครื่องบินที่ผลิตโดยอเมริกาลำนี้ หลังจากมันถูกควบคุมโดยพวกก่อการร้าย พร้อมบอกต่อมีความเป็นไปได้ว่า เครื่องบินอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งและมีการลบสัญลักษณ์ MAS(มาเลเซีย แอร์ไลน์ส) ออกไปแล้ว "มีใครบางคนปกปิดอะไรบางอย่าง ไม่ยุติธรรมเลยที่มาเลเซีย แอร์ไลน์สและทางการมาเลเซียต้องถูกกล่าวโทษ มีเหตุผลบางอย่างที่สื่อมวลชนไม่ยอมนำเสนอข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับโบอิ้งและซีไอเอเลย"
ภาพยนตร์ 2 เรื่องที่เกี่ยวกับ MH370 ถูกนำออกฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์(18) ที่่ผ่านมา หนึ่งในนั้นเป็นแนวระทึกขวัญเรื่อง "The Vanishing Act" โดยหนังตัวอย่างเป็นภาพของเหล่าผู้โดยสารที่กำลังตื่นตระหนกและพบเห็นชายคนหนึ่งมืออาวุธปืน ก่อนปิดท้ายด้วยภาพเครื่องบินกำลังเหินเวหาอยู่เหนือก่อนเมฆ พร้อมกับข้อความว่า "the untold story of the missing Malaysian plane"