นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ผลกระทบวิกฤตการเมืองต่อเศรษฐกิจไทย"ว่า หลังสหรัฐฯ ได้ทยอยยกเลิกมาตรการอัดฉีดเงินออกสู่ระบบย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเอเชีย จากปัญหาเงินไหลออกกลับไปยังสหรัฐฯ ทำให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปสูงขึ้น กระทบหนี้สินภาคครัวเรือน โดยเพียงปีเดียวจากปี 55-56 หนี้สินภาคเรือนเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มจาก 5,600 ล้านบาท เป็น 72,000 ล้านบาท ดังนั้นในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกกลับมาเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนปัญหาการเมืองหากในครึ่งปีหลังยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้อีก จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างสาหัส เพราะว่าไม่สามารถจัดทำงบปี 58 งบเงินทุนไม่ออกสู่ระบบ มีแต่งบประจำ จึงอยากให้ทุกฝ่ายหาข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้มีรัฐบาลโดยเร็วที่สุด
นางกิริฎา เภาวิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก กล่าวว่า คาดว่าจีดีพีของไทยในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3 จากตลาดโลกฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ส่งออกเพิ่ม แนวโน้มราคาน้ำมันลดลง อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติยังไหลเข้ามาในแถบอาเซียนสูงถึงร้อยละ 50 ของเงินลงทุนโลก ทำให้ไทยมีโอกาสจัดเงินลงทุนดังกล่าว แต่หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อตั้งรัฐบาลไม่ได้ อาจทำให้จีดีพีลดลงถึงขั้นติดลบได้ รวมทั้งมีความเสี่ยงจากภาระหนี้ครัวเรือน การท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเกิดผลต่อความล่าช้าในการลงทุนโครงสร้างพื้้นฐาน จนกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน
นางกิริฎา เภาวิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก กล่าวว่า คาดว่าจีดีพีของไทยในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3 จากตลาดโลกฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ส่งออกเพิ่ม แนวโน้มราคาน้ำมันลดลง อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติยังไหลเข้ามาในแถบอาเซียนสูงถึงร้อยละ 50 ของเงินลงทุนโลก ทำให้ไทยมีโอกาสจัดเงินลงทุนดังกล่าว แต่หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อตั้งรัฐบาลไม่ได้ อาจทำให้จีดีพีลดลงถึงขั้นติดลบได้ รวมทั้งมีความเสี่ยงจากภาระหนี้ครัวเรือน การท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเกิดผลต่อความล่าช้าในการลงทุนโครงสร้างพื้้นฐาน จนกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน
