จีนแผ่นดินใหญ่ กับ ไต้หวัน เปิดการหารือกันครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันอังคาร (11 ก.พ.) โดยเป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1949 ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยในสงครามได้ขึ้นปกครองแผ่นดินใหญ่แดนมังกร ส่วนพรรคก๊กมิ่นตั๋งที่เป็นผู้พ่ายแพ้ต้องหลบหนีไปตั้งหลักบนเกาะไต้หวัน ทั้งนี้ภายหลังการเจรจาในวันแรกจากทั้งหมด 4 วันคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะจัดตั้งสำนักงานผู้แทนระหว่างกันขึ้นมาโดยเร็วที่สุด ทว่าไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการหยิบยกประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองขึ้นมาพูดจากัน
การเจรจาหารือระหว่างหวัง อี้ว์ฉี ประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ของไต้หวัน กับจาง จื้อจิว์น รองรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานสำนักงานกิจการไต้หวันของฝ่ายปักกิ่ง ณ เมืองหนานจิง (นานกิง) เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของแผ่นดินใหญ่จีนคราวนี้ เห็นกันว่าเป็นก้าวย่างสำคัญสู่การขยายเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากประเด็นเศรษฐกิจและการค้า
พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นยังคงถือว่า ไต้หวันเป็นมณฑลกบฏ และไม่เคยออกมาบอกกล่าวว่าจะไม่เลือกวิธีใช้กำลังทหารเพื่อบีบให้ไต้หวันมาสยบใต้ปีก ขณะที่ไทเปโดยเฉพาะในช่วงการปกครองของพรรคก๊กมิ่นตั๋งก็ประกาศยืนกรานเรื่อยมาว่าตนเองไม่ใช่แค่เกาะไต้หวัน หากคือสาธารณรัฐจีน ที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีหลังๆ มานี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายมีการขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นไปอย่างมาก ในเวลาเดียวกับที่สายสัมพันธ์ทางการเมืองก็ค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้น
สำนักข่าวซินหวารายงานในเวลาต่อมาว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานผู้แทนของแต่ละฝ่ายไปประจำยังอีกฝ่ายหนึ่ง “โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เพื่อให้องค์กรกึ่งทางการทั้งสองนี้สามารถจัดการกับเรื่องสายสัมพันธ์ต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนั้น ไต้หวันกับจีนยังตกลงกันที่จะเพิ่มพูนความผูกพันทางเศรษฐกิจให้ลึกซึ้งขึ้นอีก และ “จัดการอย่างเหมาะสม” กับประเด็นปัญหาการดูแลรักษาพยาบาลสำหรับนักศึกษาที่ไปเรียนอยู่ในสถานที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง
การเจรจาหารือระหว่างหวัง อี้ว์ฉี ประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ของไต้หวัน กับจาง จื้อจิว์น รองรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานสำนักงานกิจการไต้หวันของฝ่ายปักกิ่ง ณ เมืองหนานจิง (นานกิง) เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของแผ่นดินใหญ่จีนคราวนี้ เห็นกันว่าเป็นก้าวย่างสำคัญสู่การขยายเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากประเด็นเศรษฐกิจและการค้า
พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นยังคงถือว่า ไต้หวันเป็นมณฑลกบฏ และไม่เคยออกมาบอกกล่าวว่าจะไม่เลือกวิธีใช้กำลังทหารเพื่อบีบให้ไต้หวันมาสยบใต้ปีก ขณะที่ไทเปโดยเฉพาะในช่วงการปกครองของพรรคก๊กมิ่นตั๋งก็ประกาศยืนกรานเรื่อยมาว่าตนเองไม่ใช่แค่เกาะไต้หวัน หากคือสาธารณรัฐจีน ที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีหลังๆ มานี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายมีการขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นไปอย่างมาก ในเวลาเดียวกับที่สายสัมพันธ์ทางการเมืองก็ค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้น
สำนักข่าวซินหวารายงานในเวลาต่อมาว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานผู้แทนของแต่ละฝ่ายไปประจำยังอีกฝ่ายหนึ่ง “โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เพื่อให้องค์กรกึ่งทางการทั้งสองนี้สามารถจัดการกับเรื่องสายสัมพันธ์ต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนั้น ไต้หวันกับจีนยังตกลงกันที่จะเพิ่มพูนความผูกพันทางเศรษฐกิจให้ลึกซึ้งขึ้นอีก และ “จัดการอย่างเหมาะสม” กับประเด็นปัญหาการดูแลรักษาพยาบาลสำหรับนักศึกษาที่ไปเรียนอยู่ในสถานที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง