นักเศรษฐศาสตร์ชี้แม้วิกฤตชัตดาวน์และการขยายเพดานก่อหนี้ของสหรัฐฯจะยุติลงโดยสถานการณ์ไม่ถึงขนาดเลวร้ายย่ำแย่สุดๆ แต่ส่งผลตกค้างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในอเมริกา คาดอัตราเติบโตไตรมาสปัจจุบันต่ำกว่าคาด และเฟดอาจตัดสินใจชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้
นักวิเคราะห์สำทับว่า แม้ตลาดหุ้นฟื้นตัวคึกคักในวันพุธ (16 ต.ค.) หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติร่างกฎหมายขยายเพดานการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังกู้ยืมไปได้จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปีหน้า และให้งบประมาณชั่วคราวซึ่งจะทำให้สามารถเปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งที่ปิดทำการก่อนหน้านี้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มกราคม 2014 ทว่า ร่องรอยความเสียหายปรากฏอย่างชัดเจน และแนวโน้มศึกการเมืองรอบใหม่ในต้นปีหน้าอาจทำให้บาดแผลเศรษฐกิจอักเสบหนักขึ้น
สองบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยักษ์ใหญ่ มูดี้ส์และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ประเมินว่า การปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ และยืดเยื้อรวม 16 วัน จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 หดหายไป 0.5-0.6%
เอสแอนด์พีสำทับว่า วิกฤตชัตดาวน์สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ 24,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากลูกจ้างรัฐบาลหลายแสนคนต้องหยุดอยู่กับบ้านโดยไม่แน่ใจว่า จะได้รับเงินเดือนย้อนหลังหรือไม่ ขณะที่สัมปทานจากรัฐต้องเลื่อนออกไป และสวนสาธารณะที่ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวปิดให้บริการ
ด้วยเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจึงลดการคาดการณ์อัตราเติบโตในไตรมาส 4 ลงอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งเกือบไม่พอสร้างงานเพิ่มเพื่อดึงอัตราว่างงานให้ลดลง
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจเล็งเห็นความจำเป็นในการคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อบรรเทาผลพวงจากการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์สำทับว่า แม้ตลาดหุ้นฟื้นตัวคึกคักในวันพุธ (16 ต.ค.) หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติร่างกฎหมายขยายเพดานการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังกู้ยืมไปได้จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปีหน้า และให้งบประมาณชั่วคราวซึ่งจะทำให้สามารถเปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งที่ปิดทำการก่อนหน้านี้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มกราคม 2014 ทว่า ร่องรอยความเสียหายปรากฏอย่างชัดเจน และแนวโน้มศึกการเมืองรอบใหม่ในต้นปีหน้าอาจทำให้บาดแผลเศรษฐกิจอักเสบหนักขึ้น
สองบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยักษ์ใหญ่ มูดี้ส์และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ประเมินว่า การปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ และยืดเยื้อรวม 16 วัน จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 หดหายไป 0.5-0.6%
เอสแอนด์พีสำทับว่า วิกฤตชัตดาวน์สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ 24,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากลูกจ้างรัฐบาลหลายแสนคนต้องหยุดอยู่กับบ้านโดยไม่แน่ใจว่า จะได้รับเงินเดือนย้อนหลังหรือไม่ ขณะที่สัมปทานจากรัฐต้องเลื่อนออกไป และสวนสาธารณะที่ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวปิดให้บริการ
ด้วยเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจึงลดการคาดการณ์อัตราเติบโตในไตรมาส 4 ลงอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งเกือบไม่พอสร้างงานเพิ่มเพื่อดึงอัตราว่างงานให้ลดลง
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจเล็งเห็นความจำเป็นในการคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อบรรเทาผลพวงจากการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา