เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - การปิดตัวบางส่วนของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯนาน 16 วันในเดือนนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีการเติบโตลดลงราว 0.25 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และยังบั่นทอนการจ้างงานกว่า 120,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยของที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา
เจสัน เฟอร์แมน ประธานสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (CEA) ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เผยในวันอังคาร (22) ระบุว่า ภาวะชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นนานต่อเนื่องกันถึง 16 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อยอดการค้าปลีกภายในประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ รวมถึงยอดการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว การปิดตัวบางส่วนของหน่วยงานรัฐบาลกลางที่เกิดขึ้นยังจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ปรับตัวลดลงกว่าที่ควรจะเป็นอีกราว 0.25 เปอร์เซ็นต์ และยังทำให้ศักยภาพในการจ้างงานหายไปจากระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึงกว่า 120,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม
เฟอร์แมน วัย 43 ปี ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานซีอีเอแทนที่อลัน ครูเกอร์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายังระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทั้งหมดที่กล่าวมาได้ หากบรรดานักการเมืองในสภาคองเกรสสามารถตกลงประนีประนอมกันได้ในเรื่องของกฎหมายงบประมาณ โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ แทนที่จะมุ่งแต่การเอาชนะกันทางการเมือง
“สหรัฐฯ ต้องเผชิญวิกฤตชัตดาวน์อย่างไม่จำเป็น และต้องถลำเข้าไปยืนอยู่ตรงขอบเหวแห่งหายนะทางเศรษฐกิจเพียงเพราะความขัดแย้งของนักการเมืองในสภาคองเกรส ซึ่งไม่สมควรจะเกิดขึ้นซ้ำอีก” เฟอร์แมนซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและเคยเป็นผู้ช่วยของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง “โจเซฟ สติกลิตซ์” กล่าว
ในอีกด้านหนึ่ง การปรับตัวลดลงของจีดีพีไตรมาสสุดท้ายที่ประธานซีอีเอคาดว่าจะลดลงราว0.25 เปอร์เซ็นต์นั้น ถือเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักก่อนหน้านี้ รวมถึงรัสเซลล์ ไพรซ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากอเมริกาไพรส์ ไฟแนนเชียล อิงค์ ในเมืองดีทรอยต์ที่ระบุ ภาวะชัตดาวน์นาน 16 วันในเดือนตุลาคม จะส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสที่ 4 หายไปราว 0.5 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน ทางกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยว่า อัตราการว่างงานของสหรัฐฯล่าสุดในช่วงก่อนเกิดภาวะชัตดาวน์นั้นอยู่ที่ราว 7.2 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับการว่างงานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2008 เป็นต้นมาแต่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขว่า หลังเกิดภาวะชัตดาวน์นานมากกว่าครึ่งเดือนในเดือนตุลาคม จะเกิดผลกระทบต่ออัตราว่างงานโดยรวมของประเทศมากน้อยเพียงใด