การประชุมร่วมกันของรัฐสภา วันนี้ (15 ต.ค.) ซึ่งเป็นการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ในวาระที่ 2 โดยเป็นการพิจารณาเรียงตามมาตรา มีทั้งสิ้น 4 มาตรา ซึ่งสามารถพิจารณาผ่านความเห็นชอบไปแล้ว 2 มาตรา คือ มาตรา 1 รัฐธรรมนูญนี้ เรียกว่า "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช …" ด้วยคะแนน 345 ต่อ 133 เสียง และเห็นชอบ มาตรา 2 ว่าด้วยการบังคับใช้ร่างรัฐธรรมนูญภายหลังลงประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ด้วยคะแนน 341 ต่อ 132 เสียง
ส่วนการพิจารณามาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 190 โดยมีการตัดข้อความเกี่ยวกับหนังสือสัญญาที่รัฐบาลจะไปลงนามผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ที่ให้ตัดข้อความเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญออกไป เหลือไว้เพียงประเด็นการเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุน เรื่องของเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ เท่านั้น ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ส่วนกรณีหนังสือสัญญาใดมีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ โดยรัฐบาลยืนยันความจำเป็นในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เนื่องจากเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริหารงานของฝ่ายบริหาร และเป็นข้อจำกัดที่ทำให้รัฐบาลดำเนินการค้าการลงทุนกับนานาประเทศล่าช้า
ทั้งนี้ ภาพรวมการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า การยกเลิกมาตรา 190 เป็นการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับรัฐบาล และบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านได้นำคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่งมาเปิดในห้องประชุม โดยยอมรับว่ากำลังลงทุนทำธุรกิจน้ำมันและก๊าซ โดยได้รับสัมปทานแล้ว ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่าเป็นการพาดพิงถึงบุคคลภายนอก และยืนยันการแก้ไขมาตรา 190 ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม วินิจฉัยว่า เป็นการอภิปรายนอกประเด็น เพราะเป็นการนำข่าวในหนังสือพิมพ์มาอภิปรายใส่ร้ายบุคคลภายนอก ซึ่งไม่เหมาะสม พร้อมขอให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน เก็บข้อมูลดังกล่าวไว้อภิปรายในเวทีไม่ไว้วางใจรัฐบาลแทน และเมื่อ ส.ส.รัฐบาลเสนอให้ปิดการอภิปรายในมาตรา 3 จึงมีสมาชิกรัฐสภาที่สงวนคำแปรญัตติโต้แย้ง ประธานจึงสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 10 นาที
ส่วนการพิจารณามาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 190 โดยมีการตัดข้อความเกี่ยวกับหนังสือสัญญาที่รัฐบาลจะไปลงนามผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ที่ให้ตัดข้อความเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญออกไป เหลือไว้เพียงประเด็นการเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุน เรื่องของเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ เท่านั้น ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ส่วนกรณีหนังสือสัญญาใดมีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ โดยรัฐบาลยืนยันความจำเป็นในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เนื่องจากเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริหารงานของฝ่ายบริหาร และเป็นข้อจำกัดที่ทำให้รัฐบาลดำเนินการค้าการลงทุนกับนานาประเทศล่าช้า
ทั้งนี้ ภาพรวมการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า การยกเลิกมาตรา 190 เป็นการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับรัฐบาล และบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านได้นำคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่งมาเปิดในห้องประชุม โดยยอมรับว่ากำลังลงทุนทำธุรกิจน้ำมันและก๊าซ โดยได้รับสัมปทานแล้ว ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่าเป็นการพาดพิงถึงบุคคลภายนอก และยืนยันการแก้ไขมาตรา 190 ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม วินิจฉัยว่า เป็นการอภิปรายนอกประเด็น เพราะเป็นการนำข่าวในหนังสือพิมพ์มาอภิปรายใส่ร้ายบุคคลภายนอก ซึ่งไม่เหมาะสม พร้อมขอให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน เก็บข้อมูลดังกล่าวไว้อภิปรายในเวทีไม่ไว้วางใจรัฐบาลแทน และเมื่อ ส.ส.รัฐบาลเสนอให้ปิดการอภิปรายในมาตรา 3 จึงมีสมาชิกรัฐสภาที่สงวนคำแปรญัตติโต้แย้ง ประธานจึงสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 10 นาที
