นายภักดีหาญส์ หิมะทอง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน พร้อมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ นี้ ร่วมกับผู้มีอำนาจลงนามของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้
ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้ผู้ลงนามในข้อ 2 และเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจีนเดินทางเยือนไทย โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจคือ ส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานของทั้ง 2 ประเทศ ทำให้เกิดโอกาสทางการค้าการลงทุนด้านพลังงาน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยให้ความสนใจร่วมกันในการพัฒนา และกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสังคมในทั้ง 2 ประเทศ เป็นกรอบความร่วมมือที่ครอบคลุมสาขาพลังงานต่างๆ ประกอบด้วย การพัฒนาและการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน การผลิตไฟฟ้าและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทางเลือกที่สะอาด การอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือต่างๆ ตามที่จะตกลงกันของทั้ง 2 ฝ่าย ความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว สามารถดำเนินการได้ตามรูปแบบ ประกอบด้วย การหารือแบบทวิภาคี การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านพลังงาน การฝึกอบรม การลงทุนร่วมกันในสาขาพลังงานในทั้งสองประเทศ หรือประเทศที่ 3 ที่อยู่ในอุณภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
นอกจากนี้ ยังให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อร่วมกำหนดโครงการความร่วมมือต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน การจัดทำแผนความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จของทั้ง 2 ประเทศ โดยการประชุมคณะทำงาน จะจัดขึ้นตามที่แต่ละประเทศตกลงกัน โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ คาดว่าจะจัดการประชุมปีละ 1 ครั้ง
ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้ผู้ลงนามในข้อ 2 และเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจีนเดินทางเยือนไทย โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจคือ ส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานของทั้ง 2 ประเทศ ทำให้เกิดโอกาสทางการค้าการลงทุนด้านพลังงาน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยให้ความสนใจร่วมกันในการพัฒนา และกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสังคมในทั้ง 2 ประเทศ เป็นกรอบความร่วมมือที่ครอบคลุมสาขาพลังงานต่างๆ ประกอบด้วย การพัฒนาและการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน การผลิตไฟฟ้าและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทางเลือกที่สะอาด การอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือต่างๆ ตามที่จะตกลงกันของทั้ง 2 ฝ่าย ความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว สามารถดำเนินการได้ตามรูปแบบ ประกอบด้วย การหารือแบบทวิภาคี การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านพลังงาน การฝึกอบรม การลงทุนร่วมกันในสาขาพลังงานในทั้งสองประเทศ หรือประเทศที่ 3 ที่อยู่ในอุณภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
นอกจากนี้ ยังให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อร่วมกำหนดโครงการความร่วมมือต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน การจัดทำแผนความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จของทั้ง 2 ประเทศ โดยการประชุมคณะทำงาน จะจัดขึ้นตามที่แต่ละประเทศตกลงกัน โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ คาดว่าจะจัดการประชุมปีละ 1 ครั้ง
