นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมระหว่างกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และหน่วยงานต่างๆ เพื่อหารือถึงแนวทางการรองรับผลกระทบจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ต้องหยุดเดินเครื่องเป็นเวลา 3-5 เดือน เนื่องจากฟ้าผ่าว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเบื้องต้นพบว่า ก๊าซแอลพีจีจะหายไปประมาณ 75,000 ตัน/เดือน หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของกำลังการผลิตในประเทศที่มีกำลังผลิตรวม 300,000 ตัน/เดือน ซึ่งที่ประชุมได้ขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันลดการจำหน่ายแอลพีจีให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และให้พิจารณาเรื่องการใช้แนฟทาทดแทนก๊าซแอลพีจี
ทั้งนี้ ยืนยันว่าก๊าซแอลพีจีจะไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน และในวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคมนี้จะมีการร่วมหารือและหาแนวทางที่ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปตท.มีแนวทางจะนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 ตัน/เดือน และลดการจัดส่งให้กลุ่มปิโตรเคมีประมาณ 30,000 ตัน/เดือน แต่อาจส่งผลกระทบต่อเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะต้องนำมาอุดหนุนส่วนต่างราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งราคาก๊าซแอลพีจีรวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ 835 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าก๊าซแอลพีจีจะไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน และในวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคมนี้จะมีการร่วมหารือและหาแนวทางที่ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปตท.มีแนวทางจะนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 ตัน/เดือน และลดการจัดส่งให้กลุ่มปิโตรเคมีประมาณ 30,000 ตัน/เดือน แต่อาจส่งผลกระทบต่อเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะต้องนำมาอุดหนุนส่วนต่างราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งราคาก๊าซแอลพีจีรวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ 835 เหรียญสหรัฐ/ตัน