คณะนักวิจัยจีนระบุในงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเมื่อวันพุธ(7ส.ค.)ว่า พบกรณีที่น่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 จากคนสู่คนเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นพัฒนาการที่ “น่าเป็นห่วง” และสมควรติดตามอย่างใกล้ชิด กระนั้นก็ตาม ทั้งคณะผู้จัดทำรายงานฉบับนี้และนักวิจัยอื่นๆ ลงความเห็นว่า ประชาชนไม่ควรแตกตื่นจนเกินเหตุ เนื่องจากเชื้อไวรัสนี้ยังมีความสามารถติดต่อระหว่างคนกับคนได้เพียงจำกัดและอยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษเท่านั้น
บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้ทำงานสาธารณสุขมีความวิตกกังวลกันมานานแล้วว่า ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่นี้อาจกลายพันธุ์จนอยู่ในรูปแบบที่สามารถติดต่อระหว่างคนได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรง
ในการศึกษาวิจัยล่าสุดคราวนี้ ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ทางวารสารการแพทย์สหราชอาณาจักร (British Medical Journal หรือ BMJ) ฉบับออนไลน์ ที่เว็บไซต์ bmj.com เปา ฉางจุน และทีมนักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน ระบุว่า พบผู้ป่วยชายวัย 60 ปีคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตในโรงพยาบาลหลังจากติดเชื้อ H7N9 ได้แพร่เชื้อนี้ให้ลูกสาววัย 32 ปีที่มาเฝ้าดูแลเขาอยู่เป็นเวลากว่าสัปดาห์ และเธอก็เสียชีวิตในโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน โดยทั้งคู่เสียชีวิตในห้องไอซียูจากอาการอวัยวะหลายส่วนล้มเหลว
หญิงสาวคนดังกล่าวไม่ได้มีการออกไปสัมผัสสัตว์ปีกที่ติดเชื้อเลย ดังนั้น คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การได้รับเชื้อโดยตรงจากบิดาซึ่งเป็นผู้ที่แวะเวียนไปตลาดขายสัตว์ปีกเป็นประจำ
นอกจากนี้ การตรวจสอบพันธุกรรมของตัวอย่างไวรัสจากผู้ป่วยทั้งสองรายยังพบว่าเกือบเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจบุคคลอื่นอีก 43 คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยพ่อ-ลูกคู่นี้ ซึ่งรวมถึงบรรดาแพทย์และพยาบาล ไม่พบการติดเชื้อ H7N9 แต่อย่างใด สถานการณ์เช่นนี้บ่งชี้ว่า ความสามารถของไวรัสนี้ในการแพร่เชื้อระหว่างคนกับคนยังคง “จำกัดและไม่ยั่งยืน”
บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้ทำงานสาธารณสุขมีความวิตกกังวลกันมานานแล้วว่า ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่นี้อาจกลายพันธุ์จนอยู่ในรูปแบบที่สามารถติดต่อระหว่างคนได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรง
ในการศึกษาวิจัยล่าสุดคราวนี้ ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ทางวารสารการแพทย์สหราชอาณาจักร (British Medical Journal หรือ BMJ) ฉบับออนไลน์ ที่เว็บไซต์ bmj.com เปา ฉางจุน และทีมนักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน ระบุว่า พบผู้ป่วยชายวัย 60 ปีคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตในโรงพยาบาลหลังจากติดเชื้อ H7N9 ได้แพร่เชื้อนี้ให้ลูกสาววัย 32 ปีที่มาเฝ้าดูแลเขาอยู่เป็นเวลากว่าสัปดาห์ และเธอก็เสียชีวิตในโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน โดยทั้งคู่เสียชีวิตในห้องไอซียูจากอาการอวัยวะหลายส่วนล้มเหลว
หญิงสาวคนดังกล่าวไม่ได้มีการออกไปสัมผัสสัตว์ปีกที่ติดเชื้อเลย ดังนั้น คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การได้รับเชื้อโดยตรงจากบิดาซึ่งเป็นผู้ที่แวะเวียนไปตลาดขายสัตว์ปีกเป็นประจำ
นอกจากนี้ การตรวจสอบพันธุกรรมของตัวอย่างไวรัสจากผู้ป่วยทั้งสองรายยังพบว่าเกือบเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจบุคคลอื่นอีก 43 คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยพ่อ-ลูกคู่นี้ ซึ่งรวมถึงบรรดาแพทย์และพยาบาล ไม่พบการติดเชื้อ H7N9 แต่อย่างใด สถานการณ์เช่นนี้บ่งชี้ว่า ความสามารถของไวรัสนี้ในการแพร่เชื้อระหว่างคนกับคนยังคง “จำกัดและไม่ยั่งยืน”
