นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี กล่าวว่าจากการที่สำนักศิลปากรได้นำชิ้นส่วนหินที่อดีตพระเณรคำอ้างว่าเป็นหินหยก นำมาสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ณ สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม จังหวัดศรีษะเกษ นั้น คณะผู้วิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งมีผู้ช่วยศาสตราจารย์อุดม ทิพราช เป็นหัวหน้าคณะ ได้ส่งผลการตรวจสอบโดยใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบหินดังกล่าวมาให้แล้ว พบว่าหินที่ใช้ไม่ใช่หยก ซึ่งได้นำหินไปเผาไฟปรากฏว่าหินชนิดนี้ถูกทำลายด้วยไฟ และยังพบว่าเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับกรดได้เกิดฟองก๊าซ และเกิดการกัดกร่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำไปขูดหรือขัดด้วยกระจก และโลหะ หินตัวอย่างเกิดร่องและสึกหรอได้ง่าย แสดงให้เห็นว่าหินชนิดนี้ไม่มีคุณสมบัติของหยก แต่มีลักษณะคล้ายหินอ่อนและหินปูนมากกว่า ซึ่งหากเป็นหินหยกแท้จะไม่เกิดปฏิกิริยาดังกล่าว
ทั้งนี้ สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี จะสรุปผลการตรวจสอบไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อนำไปประกอบการสืบสวน และสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี จะสรุปผลการตรวจสอบไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อนำไปประกอบการสืบสวน และสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป