ธนาคารโลกเตือนในรายงานฉบับล่าสุด หากภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินไปตามที่คาดการณ์ไว้โดยมิได้มีความร่วมมือกันเพื่อยับยั้งและแก้ไขแล้ว พื้นที่ถึง 40% ในกรุงเทพฯ จะจมน้ำภายใน 20-30 ปีนับจากนี้ เนื่องจากระดับน้ำในทะเลสูงขึ้นและพายุมรสุมก็รุนแรงขึ้น
ในรายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ (19 มิ.ย.) เวิลด์แบงก์ระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ 40% ของกรุงเทพฯ ดังกล่าวนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของผลกระทบแง่ลบหลายสิบอย่างที่อาจเกิดขึ้น หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส (3.6 องศาฟาเรนไฮต์) โดยที่จากการจำลองสถานการณ์ตามปกติในปัจจุบัน สภาพเช่นนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ทศวรรษข้างหน้า
นับแต่ที่ จิม ยอง คิม ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ขึ้นเป็นประธานของธนาคารโลก ก็ได้ประกาศจุดยืนเชิงรุกในการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยประธานเวิลด์แบงก์ผู้นี้กล่าวว่า การแก้ปัญหาความยากจนไม่สามารถทำได้โดยไม่สนใจจัดการกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
รายงานฉบับล่าสุดจัดทำขึ้นโดยอิงกับผลการศึกษาที่ธนาคารโลกเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งมุ่งวาดภาพให้เห็นว่าผลกระทบต่อทั่วโลกจะเป็นเช่นไร เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียสภายในปี 2100
รายงานฉบับใหม่ล่าสุดนี้ มุ่งเน้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบของอุณหภูมิที่สูงขึ้นที่จะเกิดกับพวกประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคซับ-ซาฮาราของแอฟริกา (ดินแดนทวีปแอฟริกาทั้งหมดที่อยู่ใต้ทะเลทรายซาฮาราลงมา) ตลอดจนเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากรยากจนที่สุดอาศัยอยู่มากที่สุด
ในรายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ (19 มิ.ย.) เวิลด์แบงก์ระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ 40% ของกรุงเทพฯ ดังกล่าวนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของผลกระทบแง่ลบหลายสิบอย่างที่อาจเกิดขึ้น หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส (3.6 องศาฟาเรนไฮต์) โดยที่จากการจำลองสถานการณ์ตามปกติในปัจจุบัน สภาพเช่นนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ทศวรรษข้างหน้า
นับแต่ที่ จิม ยอง คิม ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ขึ้นเป็นประธานของธนาคารโลก ก็ได้ประกาศจุดยืนเชิงรุกในการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยประธานเวิลด์แบงก์ผู้นี้กล่าวว่า การแก้ปัญหาความยากจนไม่สามารถทำได้โดยไม่สนใจจัดการกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
รายงานฉบับล่าสุดจัดทำขึ้นโดยอิงกับผลการศึกษาที่ธนาคารโลกเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งมุ่งวาดภาพให้เห็นว่าผลกระทบต่อทั่วโลกจะเป็นเช่นไร เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียสภายในปี 2100
รายงานฉบับใหม่ล่าสุดนี้ มุ่งเน้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบของอุณหภูมิที่สูงขึ้นที่จะเกิดกับพวกประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคซับ-ซาฮาราของแอฟริกา (ดินแดนทวีปแอฟริกาทั้งหมดที่อยู่ใต้ทะเลทรายซาฮาราลงมา) ตลอดจนเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากรยากจนที่สุดอาศัยอยู่มากที่สุด
