นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อนโยบายการเงินการคลังของประเทศ และขณะนี้เริ่มเกิดความเสียหายจากเงินบาทที่แข็งค่า และยังไม่มีมาตรการชัดเจน แต่ทั้งบอร์ดแบงก์ชาติ และรัฐมนตรีการคลังก็ไม่มีอำนาจจะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ
นายวีรพงษ์ ระบุว่า โดยส่วนตัวยังต้องการให้ถึงขั้นให้มีการปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ทั้งนี้หากแบงก์ชาติ และกระทรวงการคลัง ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า จะทำให้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะย่ำแย่ลง โดยระบุว่าปัญหาเงินบาทแข็งมีสาเหตุที่ดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าต่างประเทศ โดยเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ ทำให้แบงก์ชาติขาดดุลงบประมาณแล้วกว่า 8 แสนล้านบาท จากทุนสำรองที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ และหากยังไม่มีมาตรการใดๆ อาจจะทำให้แบงก์ชาติขาดดุลสูงถึง 1 ล้านล้านบาทภายสิ้นปีนี้
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ กล่าวว่า ในบางช่วงธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลค่าเงินบาทช้าเกินไป แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง แต่แบงก์ชาติอาจต้องเตรียมมาตรการไว้ และต้องระบุชัดว่า จะไม่กระทบกับตลาดหุ้น พร้อมย้ำว่าการลดดอกเบี้ยไม่สามารถสกัดเงินทุนไหลเข้าได้
นายวีรพงษ์ ระบุว่า โดยส่วนตัวยังต้องการให้ถึงขั้นให้มีการปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ทั้งนี้หากแบงก์ชาติ และกระทรวงการคลัง ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า จะทำให้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะย่ำแย่ลง โดยระบุว่าปัญหาเงินบาทแข็งมีสาเหตุที่ดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าต่างประเทศ โดยเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ ทำให้แบงก์ชาติขาดดุลงบประมาณแล้วกว่า 8 แสนล้านบาท จากทุนสำรองที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ และหากยังไม่มีมาตรการใดๆ อาจจะทำให้แบงก์ชาติขาดดุลสูงถึง 1 ล้านล้านบาทภายสิ้นปีนี้
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ กล่าวว่า ในบางช่วงธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลค่าเงินบาทช้าเกินไป แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง แต่แบงก์ชาติอาจต้องเตรียมมาตรการไว้ และต้องระบุชัดว่า จะไม่กระทบกับตลาดหุ้น พร้อมย้ำว่าการลดดอกเบี้ยไม่สามารถสกัดเงินทุนไหลเข้าได้
