ผช.ศ.พัฒนพงษ์ วันจันทึก ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) พร้อมคณะ เข้าพบกับ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาคตะวันออกเเฉียงเหนือ และนายภาสกร เจนประวิทย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อร้องทุกข์ให้ตรวจสอบอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คนปัจจุบัน กรณีเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี มมส. โดยให้ดำเนินคดีอาญา และสอบวินัยอย่างร้ายแรงต่ออธิการบดี และให้เรียกเงินที่เบิกจ่ายไปคืน มมส. รวมทั้งดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
ผศ.ดร.พัฒน์พงษ์ ให้การกับดีเอสไอว่า มีหลายประเด็นต้องการให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ เช่น มมส.ได้รับงบประมาณเพื่อก่อสร้างศูนย์กีฬาจำนวน 200 ล้านบาท ปรากฏว่าขณะนี้ มมส.มีความจำเป็นต้องเลิกสัญญากับบริษัทเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้ละทิ้งงานไป แต่ มมส.ได้จ่ายเงินให้กับบริษัทนี้ไปแล้วเป็นเงิน 50.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.6 ของยอดรวมของงบประมาณ รวมถึงการโยกย้ายสถานที่ฝากเงินของ มมส. โดยไม่เป็นไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัยว่าด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2553 ข้อ 14 ซึ่งการขอเปิด-ปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร และการโอนเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารมหาวิทยาลัย ให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยอนุมัติ แล้วให้นำเสนอสภามหาวิทยาลัยเพื่อทราบ แต่ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2555 ได้มีการโยกเงินจากมหาวิทยาลัยไปยังธนาคารกรุงเทพ จำนวน 300 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 800 ล้านบาท และ ธนาคารอิสลาม จำนวน 200 ล้านบาท โดยไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบทางราชการ และการโยกเงินนี้ได้ทำผิดระเบียบราชการ ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โดยมีการโยกเงินทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษฯ กล่าวว่า เกี่ยวกับสภาคณาจารย์ มมส.ได้มาที่ดีเอสไอภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อมาร้องทุกข์เกี่ยวกับใน มมส.มีการทุจริตโครงการก่อสร้างในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง พร้อมกับมีการฮั้วประมูลกับบริษัทรับเหมาด้วยการกินเงินงบประมาณก่อสร้างอาคารใน มมส. ซึ่งดีเอสไอได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีเงินงบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารใน มมส. มาโดยตลอด และดีเอสไอกำลังสืบสวนทางลับหาข้อมูลอยู่ กระทั่ง ผศ.ดร.พัฒนพงษ์ พร้อมทีมงานมายื่นหนังสือเอกสาร ซึ่งงถือว่าคณะผู้บริหาร มมส.ชุดปัจจุบันถูกกล่าวหาว่าทุจริตประพฤติมิชอบในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนตามกฎหมายต่อไป
ผศ.ดร.พัฒน์พงษ์ ให้การกับดีเอสไอว่า มีหลายประเด็นต้องการให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ เช่น มมส.ได้รับงบประมาณเพื่อก่อสร้างศูนย์กีฬาจำนวน 200 ล้านบาท ปรากฏว่าขณะนี้ มมส.มีความจำเป็นต้องเลิกสัญญากับบริษัทเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้ละทิ้งงานไป แต่ มมส.ได้จ่ายเงินให้กับบริษัทนี้ไปแล้วเป็นเงิน 50.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.6 ของยอดรวมของงบประมาณ รวมถึงการโยกย้ายสถานที่ฝากเงินของ มมส. โดยไม่เป็นไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัยว่าด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2553 ข้อ 14 ซึ่งการขอเปิด-ปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร และการโอนเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารมหาวิทยาลัย ให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยอนุมัติ แล้วให้นำเสนอสภามหาวิทยาลัยเพื่อทราบ แต่ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2555 ได้มีการโยกเงินจากมหาวิทยาลัยไปยังธนาคารกรุงเทพ จำนวน 300 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 800 ล้านบาท และ ธนาคารอิสลาม จำนวน 200 ล้านบาท โดยไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบทางราชการ และการโยกเงินนี้ได้ทำผิดระเบียบราชการ ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โดยมีการโยกเงินทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษฯ กล่าวว่า เกี่ยวกับสภาคณาจารย์ มมส.ได้มาที่ดีเอสไอภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อมาร้องทุกข์เกี่ยวกับใน มมส.มีการทุจริตโครงการก่อสร้างในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง พร้อมกับมีการฮั้วประมูลกับบริษัทรับเหมาด้วยการกินเงินงบประมาณก่อสร้างอาคารใน มมส. ซึ่งดีเอสไอได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีเงินงบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารใน มมส. มาโดยตลอด และดีเอสไอกำลังสืบสวนทางลับหาข้อมูลอยู่ กระทั่ง ผศ.ดร.พัฒนพงษ์ พร้อมทีมงานมายื่นหนังสือเอกสาร ซึ่งงถือว่าคณะผู้บริหาร มมส.ชุดปัจจุบันถูกกล่าวหาว่าทุจริตประพฤติมิชอบในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนตามกฎหมายต่อไป
