เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสอบปากคำผู้บริหาร ,เภสัชกร ,เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ กรณีการตรวจสอบการจัดซื้อยาโบเซนแทน ของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังพบการร้องเรียนการจัดซื้อยาดังกล่าวสูงกว่าโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ แม้ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะระบุว่า เป็นความบกพร่องของบริษัทจำหน่ายยา แต่เจ้าหน้าที่ยังคงรวบรวมหลักฐานให้กับคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตในภาครัฐ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง
ด้าน นายภาสกร เจนประวิทย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผย ว่าแม้บริษัทยาจะทำหนังสือชี้แจงยอมรับว่า เป็นความบกพร่องของบริษัท แต่ไม่มีผลต่อแนวทางการสอบสวน เนื่องจากการประกาศราคากลางยาโบเซนแทนของกระทรวงสาธารณสุขเริ่มมีตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 แต่บริษัทยายังจำหน่ายยาโบเซนแทนให้กับศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ในราคาขวดละ 146,590 บาท หรือเม็ดละ 2,443 บาท สูงกว่าราคาอ้างอิงเม็ดละ 838 บาท คิดเป็นราคาที่สูงกว่าราคาอ้างอิงถึงร้อยละ 35 หรือ เป็นเงินงบประมาณที่ต้องเสียไปปีละกว่า 3.5 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมานานกว่า 5 ปี โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนราคา โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวน เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทยา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของศูนย์หัวใจ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการต่อรองราคายาว่า จะเข้าข่ายกระทำผิดฐานมีการสมคบ หรือจูงใจให้มีการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐหรือไม่ พร้อมสรุปข้อมูลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่ นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้ขณะนี้มีการปรับระบบการจัดซื้อยาของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ กับบริษัทจำหน่ายยา โดยต้องมีการเปรียบเทียบราคาของโรงพยาบาลแพทย์อย่างน้อย 3 แห่ง เพื่อประกอบการพิจารณาป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย พร้อมระบุว่า ขณะนี้บริษัทยาได้จัดส่งยาโบเซนแทนเท่ากับจำนวนส่วนต่างราคามาให้ศูนย์หัวใจแล้ว
นอกจากนี้ยังระบุว่า ยาโบเซนแทนเป็นยาราคาแพง และเป็นยาที่ใช้เฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่มีอาการความดันเลือดในปอดสูง โรงพยาบาลจะสั่งซื้อมาเพียงปีละ 10-15 ขวดเท่านั้น
ด้าน นายภาสกร เจนประวิทย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผย ว่าแม้บริษัทยาจะทำหนังสือชี้แจงยอมรับว่า เป็นความบกพร่องของบริษัท แต่ไม่มีผลต่อแนวทางการสอบสวน เนื่องจากการประกาศราคากลางยาโบเซนแทนของกระทรวงสาธารณสุขเริ่มมีตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 แต่บริษัทยายังจำหน่ายยาโบเซนแทนให้กับศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ในราคาขวดละ 146,590 บาท หรือเม็ดละ 2,443 บาท สูงกว่าราคาอ้างอิงเม็ดละ 838 บาท คิดเป็นราคาที่สูงกว่าราคาอ้างอิงถึงร้อยละ 35 หรือ เป็นเงินงบประมาณที่ต้องเสียไปปีละกว่า 3.5 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมานานกว่า 5 ปี โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนราคา โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวน เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทยา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของศูนย์หัวใจ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการต่อรองราคายาว่า จะเข้าข่ายกระทำผิดฐานมีการสมคบ หรือจูงใจให้มีการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐหรือไม่ พร้อมสรุปข้อมูลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่ นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้ขณะนี้มีการปรับระบบการจัดซื้อยาของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ กับบริษัทจำหน่ายยา โดยต้องมีการเปรียบเทียบราคาของโรงพยาบาลแพทย์อย่างน้อย 3 แห่ง เพื่อประกอบการพิจารณาป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย พร้อมระบุว่า ขณะนี้บริษัทยาได้จัดส่งยาโบเซนแทนเท่ากับจำนวนส่วนต่างราคามาให้ศูนย์หัวใจแล้ว
นอกจากนี้ยังระบุว่า ยาโบเซนแทนเป็นยาราคาแพง และเป็นยาที่ใช้เฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่มีอาการความดันเลือดในปอดสูง โรงพยาบาลจะสั่งซื้อมาเพียงปีละ 10-15 ขวดเท่านั้น