ศาลอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ กรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ทนายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมติของ ก.ตร. โดยระบุฟ้องปี 2552 หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด กรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้อง พล.ต.อ.พัชรวาท จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขอให้มีคำสั่งรับฟ้องคดีดังกล่าว โดยวันนี้ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าตามที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยมีคำสั่งปลดโจทก์ ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และไม่ดำเนินการให้กลับเข้ามารับราชการตามมติ ก.ตร. เป็นการปฏิบัติโดยมิชอบ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 275 บัญญัติว่า กรณีนายกรัฐมนตรีกระทำผิดต่อตำแหน่ง ให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ที่โจทก์ต้องเรียกร้องกล่าวหาจำเลยต่อ ป.ป.ช. เพื่อสืบสวนและดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับคดี จึงชอบแล้ว
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้อง พล.ต.อ.พัชรวาท จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขอให้มีคำสั่งรับฟ้องคดีดังกล่าว โดยวันนี้ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าตามที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยมีคำสั่งปลดโจทก์ ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และไม่ดำเนินการให้กลับเข้ามารับราชการตามมติ ก.ตร. เป็นการปฏิบัติโดยมิชอบ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 275 บัญญัติว่า กรณีนายกรัฐมนตรีกระทำผิดต่อตำแหน่ง ให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ที่โจทก์ต้องเรียกร้องกล่าวหาจำเลยต่อ ป.ป.ช. เพื่อสืบสวนและดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับคดี จึงชอบแล้ว