สองมหาอำนาจงัดข้อรอบใหม่ หนนี้ปักกิ่งเงื้อง่าเตรียมรีดภาษีรถเก๋งขนาดใหญ่และเอสยูวีที่ส่งออกจากอเมริกาสูงสุดถึง 22% หลังพ่ายวอชิงตันจากการวินิจฉัยของดับเบิลยูทีโอเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทำให้ต้องก้มหน้ารับภาษีส่งออกยางรถยนต์
มาตรการภาษีรอบใหม่มีเป้าหมายที่การส่งออกรถยนต์มูลค่าเฉียด 4,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาที่สัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่งกำลังตึงเครียดอย่างหนัก โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการค้าของพญามังกรกลายเป็นเป้าลับฝีปากของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแดนอินทรี โดยเฉพาะพวกที่สังกัดพรรครีพับลิกัน
รถยนต์ที่เข้าข่ายถูกรีดภาษีเพิ่มมีอาทิ คาดิลแลค เอสคาเลดของเจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม), จี๊ป แกรนด์ เชอโรกีจากไครสเลอร์ กรุ๊ป ที่ปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือของเฟียตจากอิตาลี และรถสปอร์ตเอนกประสงค์ (เอสยูวี) ระดับหรูจากค่ายเมอร์ซีเดสของเดมเลอร์ และบีเอ็มดับเบิลยู
กระทรวงพาณิชย์จีนแจงว่า เอสยูวีและซีดานหรูที่ผลิตในอเมริกาเข้ามาดัมพ์ราคาในตลาดจีน สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ท้องถิ่น
ปัจจุบัน รถยนต์ที่ส่งออกสู่จีนต้องเสียภาษีอยู่แล้ว 25% และมาตรการภาษีใหม่จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปจากฐานนี้
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนเพิ่งพ่ายแพ้ในข้อพิพาทเรื่องการส่งออกยางรถยนต์ไปสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมา 2 ปี โดยองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เห็นชอบกับข้อเสนอของคณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการขึ้นภาษีนำเข้ายางรถยนต์จากจีน และปฏิเสธการอุทธรณ์ที่อ้างว่าความเคลื่อนไหวของวอชิงตันในปี 2009 เป็นลัทธิกีดกันการค้าซึ่งส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์ของจีน
แครอล กัธทรี โฆษกสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังอย่างมากกับการตัดสินใจล่าสุดของจีน ขณะที่ส.ส.อาวุโส 4 คนจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน เรียกร้องให้ยูเอสทีอาร์ตอบโต้มาตรการภาษีที่ “ไม่เป็นธรรม” ดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการตอบโต้ที่ไม่ได้รับอนุญาตของจีนต่ออเมริกาและประเทศคู่ค้าอื่นๆ
ภาษีใหม่ที่เรียกเก็บจากซีดานรุ่นใหญ่และเอสยูวีจะลดหลั่นกันไปจาก 2% สำหรับรถของบีเอ็มดับเบิลยู จนถึง 15% สำหรับไครสเลอร์ และเกือบ 22% สำหรับจีเอ็ม ส่วนฟอร์ดนั้นรอดตัวเนื่องจากไม่ได้ส่งออกรถที่ผลิตในอเมริกาไปจีน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเขม็งเกลียวขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการสอบสวนแก้เผ็ดกันไปมาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ตอกย้ำคำเตือนของเหล่าผู้นำถึงลัทธิกีดกันการค้าที่กำลังพลุ่งพล่านท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มืดมนลง
มาตรการภาษีรอบใหม่มีเป้าหมายที่การส่งออกรถยนต์มูลค่าเฉียด 4,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาที่สัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่งกำลังตึงเครียดอย่างหนัก โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการค้าของพญามังกรกลายเป็นเป้าลับฝีปากของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแดนอินทรี โดยเฉพาะพวกที่สังกัดพรรครีพับลิกัน
รถยนต์ที่เข้าข่ายถูกรีดภาษีเพิ่มมีอาทิ คาดิลแลค เอสคาเลดของเจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม), จี๊ป แกรนด์ เชอโรกีจากไครสเลอร์ กรุ๊ป ที่ปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือของเฟียตจากอิตาลี และรถสปอร์ตเอนกประสงค์ (เอสยูวี) ระดับหรูจากค่ายเมอร์ซีเดสของเดมเลอร์ และบีเอ็มดับเบิลยู
กระทรวงพาณิชย์จีนแจงว่า เอสยูวีและซีดานหรูที่ผลิตในอเมริกาเข้ามาดัมพ์ราคาในตลาดจีน สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ท้องถิ่น
ปัจจุบัน รถยนต์ที่ส่งออกสู่จีนต้องเสียภาษีอยู่แล้ว 25% และมาตรการภาษีใหม่จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปจากฐานนี้
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนเพิ่งพ่ายแพ้ในข้อพิพาทเรื่องการส่งออกยางรถยนต์ไปสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมา 2 ปี โดยองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เห็นชอบกับข้อเสนอของคณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการขึ้นภาษีนำเข้ายางรถยนต์จากจีน และปฏิเสธการอุทธรณ์ที่อ้างว่าความเคลื่อนไหวของวอชิงตันในปี 2009 เป็นลัทธิกีดกันการค้าซึ่งส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์ของจีน
แครอล กัธทรี โฆษกสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังอย่างมากกับการตัดสินใจล่าสุดของจีน ขณะที่ส.ส.อาวุโส 4 คนจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน เรียกร้องให้ยูเอสทีอาร์ตอบโต้มาตรการภาษีที่ “ไม่เป็นธรรม” ดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการตอบโต้ที่ไม่ได้รับอนุญาตของจีนต่ออเมริกาและประเทศคู่ค้าอื่นๆ
ภาษีใหม่ที่เรียกเก็บจากซีดานรุ่นใหญ่และเอสยูวีจะลดหลั่นกันไปจาก 2% สำหรับรถของบีเอ็มดับเบิลยู จนถึง 15% สำหรับไครสเลอร์ และเกือบ 22% สำหรับจีเอ็ม ส่วนฟอร์ดนั้นรอดตัวเนื่องจากไม่ได้ส่งออกรถที่ผลิตในอเมริกาไปจีน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเขม็งเกลียวขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการสอบสวนแก้เผ็ดกันไปมาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ตอกย้ำคำเตือนของเหล่าผู้นำถึงลัทธิกีดกันการค้าที่กำลังพลุ่งพล่านท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มืดมนลง