พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ โดยระบุว่า ได้ฟังนายกรัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในสภาฯ แล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดี ต้องพูดความจริงต่อประชาชน และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน นายกรัฐมนตรี บอกว่า หนี้สาธารณะ สมัยตน 42.75 % ขณะที่ของตัวเอง 41.94 %ของจีดีพี ข้อเท็จจริงจากสำนักหนี้สาธารณะ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 มีหนี้สาธารณะ 40.48 % และสมัยก่อน จีดีพี เล็กกว่าปัจจุบัน คิดเป็นตัวเลขแล้วหนี้ปัจจุบันจำนวนมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น สมัยตนรับหนี้มาจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ๆ คือ 1. หนี้กองทุนฟื้นฟูที่เกิดจากการขายทรัพย์ที่เอามาจากสถาบันการเงินล้ม ก้อนนี้เข้าใจว่าประมาณร่วม 700,000 ล้านบาท 2. คือหนี้ที่กู้มาจากมิยาซาว่า เอดีบี เวิลด์แบงก์ และไอเอ็มเอฟ อีกประมาณกว่า 600,000 ล้านบาท ซึ่งหนี้ไอเอ็มเอฟ ประมาณ 400,000 ล้านบาท สมัยตนก็ใช้หนี้ไปหมดแล้ว สรุปคือว่า ตอนตนมาเป็นรัฐบาลรับหนี้สาธารณะ มาในขีดอันตราย คือเกือบ 60 % ของจีดีพี แต่อยู่ไปก็ทำให้หนี้ลดลงจนอยู่ในเขตที่ปลอดภัย ต่อมาเมื่อจีดีพีสูงขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีลดลง รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาจึงถือโอกาสกู้เงินเพื่อหวังผลทางการเมือง และคอร์รัปชั่น จึงทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับ โดยหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น หนี้ก็จะลดเอง แต่การกู้เงินมาแล้ว ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อน ในที่สุดหนี้ต่อจีดีพีจะสูงขึ้น แต่ยังโชคดีที่การส่งออก โดยเฉพาะหมวดรถยนต์ยังดีอยู่
สรุปขอแนะนำว่าให้ยอมรับ และบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า และตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ซึ่งจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า และได้รับความเห็นใจกว่าบอกประชาชนไปเลยว่า กำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยก็เก่งเอง
สรุปขอแนะนำว่าให้ยอมรับ และบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า และตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ซึ่งจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า และได้รับความเห็นใจกว่าบอกประชาชนไปเลยว่า กำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยก็เก่งเอง