นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ขณะนี้มีบางพื้นที่ใน 9 จังหวัด ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินจากภาวะภัยแล้งแล้ว โดยภาคเหนือ 4 จังหวัด คือ จ.กำแพงเพชร น่าน ลำปาง และพะเยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด คือ จ.เลย อุดรธานี และภาคกลาง 3 จังหวัด คือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และสุพรรณบุรี ส่วนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น ได้มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค เครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำ สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ต่างๆ จากสถิติเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในเขื่อนมีจำนวนน้อย โดยเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำประมาณร้อยละ 50 ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่อื่นๆ อีก 8 เขื่อน มีปริมาณน้ำต่ำกว่าร้อยละ 50 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในเรื่องนี้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ภัยแล้งมักจะเกิดพายุฤดูร้อนตามมา ดังนั้นประชาชนจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ในการดูแลสิ่งปลูกสร้างให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือ หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ภัยแล้งมักจะเกิดพายุฤดูร้อนตามมา ดังนั้นประชาชนจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ในการดูแลสิ่งปลูกสร้างให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือ หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง