ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศไทย ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ทิศทาง ปัญหา และอุปสรรคการค้าระหว่างประเทศของไทยในปีนี้ คาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้จะฟื้นตัวจากปีที่แล้วแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีมูลค่าการส่งออก รวม 166,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 10.5 จากที่หดตัวลงไปร้อยละ 15.1 ในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่มีผลต่อการส่งออกมากที่สุดคือ การลดค่าเงินด่องของเวียดนาม เนื่องจากมีผลต่อตลาดคู่ค้าหลักของไทย คือ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งเวียดนามมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าไทยยกเว้นในจีน นอกจากนี้คาดว่า เวียดนามจะลดค่าเงินลงอีกร้อยละ 10 ในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออกรวมของไทย ร้อยละ 0.82 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ข้าวขาว เสื้อผ้า รองเท้า ประมง ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อภาคการส่งออก คือเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในปีนี้ เฉลี่ย 32.4-32.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ การแข่งขันด้านราคา ทิศทางดอกเบี้ย และน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ขณะที่ปัจจัยที่มีผลบวกต่อการส่งออก คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 และการเปิดเขตการค้าเสรี
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัวได้ถึงร้อยละ 13.9 หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4.1 ขณะที่การนำเข้าของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 14.4 โดยเป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพียงร้อยละ 7.9 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ยังมีความไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่มีผลต่อการส่งออกมากที่สุดคือ การลดค่าเงินด่องของเวียดนาม เนื่องจากมีผลต่อตลาดคู่ค้าหลักของไทย คือ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งเวียดนามมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าไทยยกเว้นในจีน นอกจากนี้คาดว่า เวียดนามจะลดค่าเงินลงอีกร้อยละ 10 ในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออกรวมของไทย ร้อยละ 0.82 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ข้าวขาว เสื้อผ้า รองเท้า ประมง ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อภาคการส่งออก คือเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในปีนี้ เฉลี่ย 32.4-32.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ การแข่งขันด้านราคา ทิศทางดอกเบี้ย และน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ขณะที่ปัจจัยที่มีผลบวกต่อการส่งออก คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 และการเปิดเขตการค้าเสรี
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัวได้ถึงร้อยละ 13.9 หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4.1 ขณะที่การนำเข้าของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 14.4 โดยเป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพียงร้อยละ 7.9 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ยังมีความไม่ชัดเจน
