น.พ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต ในฐานะผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตเพื่อสุขภาวะสังคมไทย กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ร่วมกับกรมสุขภาพจิต สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ทำการสำรวจสุขภาพจิตคนไทยตามสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนตุลาคม ปี 2551 พบว่า ความผูกพันในครอบครัวทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตดีขึ้น แสดงให้เห็นว่าท่ามกลางวิกฤตทางสังคม ประชาชนสามารถปรับตัวและหันมาดูแลกันในครอบครัวมากขึ้น แต่ที่น่าห่วงยังเป็นพื้นที่กรุงเทพฯที่มีสุขภาพจิตลดลง เนื่องจากประชาชนตื่นตัวในการรับรู้ข่าวสาร และอยู่ใกล้เหตุการณ์ความรุนแรงมากกว่าคนต่างจังหวัด จึงทำให้คนกรุงเทพฯมีความสุขน้อยลงตามไปด้วย หากดูจากผลสำรวจความสุขของคนไทยปี 2551 ในช่วงอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่า ร้อยละ 75 คนไทยมีความสุขมาก ที่เหลือร้อยละ 25 เท่านั้น ที่มีความสุขน้อย
นอกจากนี้ วิกฤตที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต จากปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งผลกระทบกับประชาชนแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันไป เพราะธรรมชาติคนเราเมื่อเผชิญกับปัญหา ร่างกายและจิตใจจะแสดงอาการของความเครียดออกมา เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ ทานอาหารน้อย หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ได้น้อยลง หากมีความเครียดมาก จะกระทบต่อความสามารถในการดำเนินชีวิต การเรียนและการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ตลอดจนความสุขในชีวิต วิกฤตดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาสังคม อาชญากรรม ความรุนแรงต่างๆ ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม น.พ.ประเวช แนะนำว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องรู้จักจัดการกับปัญหาด้วยการปล่อยวาง ทำใจให้สบาย ไม่คิดมาก ที่สำคัญไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน สำหรับวิธีคิดในการรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตในปี 2553 นี้ มีหลักง่ายๆ 3 ประการ คือ 1 ให้มองว่าปัญหาที่เลวร้ายจะสามารถผ่านไปได้ 2 หลีกเลี่ยงจากการคิดวนเวียนอยู่กับปัญหา หรือจมอยู่กับความคิด เพราะจะทำให้เกิดความทุกข์ การรับมือกับปัญหาที่ดี คือรู้จักมองหาสิ่งดีๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ปล่อยให้ปัญหาขยายวงกว้างมากระทบชีวิต และ 3 ค้นหาว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แล้วลงมือทำ และใช้โอกาสที่ต้องพบกับปัญหามาตั้งเป้าหมายการพัฒนาตัวเองให้ชัดเจน
นอกจากนี้ วิกฤตที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต จากปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งผลกระทบกับประชาชนแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันไป เพราะธรรมชาติคนเราเมื่อเผชิญกับปัญหา ร่างกายและจิตใจจะแสดงอาการของความเครียดออกมา เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ ทานอาหารน้อย หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ได้น้อยลง หากมีความเครียดมาก จะกระทบต่อความสามารถในการดำเนินชีวิต การเรียนและการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ตลอดจนความสุขในชีวิต วิกฤตดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาสังคม อาชญากรรม ความรุนแรงต่างๆ ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม น.พ.ประเวช แนะนำว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องรู้จักจัดการกับปัญหาด้วยการปล่อยวาง ทำใจให้สบาย ไม่คิดมาก ที่สำคัญไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน สำหรับวิธีคิดในการรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตในปี 2553 นี้ มีหลักง่ายๆ 3 ประการ คือ 1 ให้มองว่าปัญหาที่เลวร้ายจะสามารถผ่านไปได้ 2 หลีกเลี่ยงจากการคิดวนเวียนอยู่กับปัญหา หรือจมอยู่กับความคิด เพราะจะทำให้เกิดความทุกข์ การรับมือกับปัญหาที่ดี คือรู้จักมองหาสิ่งดีๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ปล่อยให้ปัญหาขยายวงกว้างมากระทบชีวิต และ 3 ค้นหาว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แล้วลงมือทำ และใช้โอกาสที่ต้องพบกับปัญหามาตั้งเป้าหมายการพัฒนาตัวเองให้ชัดเจน