นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานคณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม เปิดเผยว่า ข้อสรุปการเสวนาในเวทีสาธารณะ "ลดโลกร้อน ต้องทำอย่างเป็นธรรม" เมื่อวันที่ 3 - 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ของเครือข่ายภาคประชาชนไทย 5 เครือข่าย ประกอบด้วย เครือข่ายพลังงาน ประมงพื้นบ้านภาคใต้ เกษตร ป่าไม้และที่ดิน และเครือข่ายชนพื้นเมือง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นต่อการดำเนินการลดโลกร้อนที่จะส่งผลต่อประชาชนไทย และจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย เพื่อนำมาตรการแก้ไขปัญหาโลกร้อนไปสู่การเจรจาระดับโลก ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
โดยวันนี้ (5 ต.ค ) เครือข่ายภาคประชาชน กว่า 5 เครือข่าย และองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGO กว่า 1,500 คน ร่วมกันเดินขบวนจากสวนสันติชัยปราการ ไปยังหน้าองค์การสหประชาชาติ เพื่อยืนยันถึงจุดยืนที่เรียกร้องให้เวทีการหารือแก้ไขปัญหาโลกร้อน UN มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นธรรม และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วรับผิดชอบ ต้องชดใช้เต็มจำนวนต่อหนี้นิเวศน์ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย
ด้านนายบุญ แซ่จุ่ง ตัวแทนเครือข่ายที่ดินป่าไม้ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ของรัฐบาล กำลังกลายเป็นเหยื่อการแก้ปัญหาโลกร้อน เนื่องจากการเจรจาในเวที UN ที่พยายามหาทางเอาภาคป่าไม้ มาเป็นสินค้าในการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่รักษาได้นั้น ออกมาเป็นคาร์บอนเครดิต แล้วมีการซื้อขายกันนั้น เป็นการสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านที่อยู่ในเขตพื้นที่ ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งที่อยู่มาก่อนหลายชั่วอายุคน ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ถูกละเมิดสิทธิได้มากขึ้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าการรักษาพื้นที่ป่าจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เท่าใด เพราะคนที่ปล่อยมาก ควรต้องลดก่อน เช่น พวกอุตสาหกรรม และประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งแนวทางแก้ปัญหา ควรตั้งเป้าหมายที่กลุ่มนั้น มากกว่าที่จะมาบังคับการลดก๊าซเรือนกระจก จากภาคป่าไม้ที่เต็มไปด้วยปัญหาอยู่แล้ว
โดยวันนี้ (5 ต.ค ) เครือข่ายภาคประชาชน กว่า 5 เครือข่าย และองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGO กว่า 1,500 คน ร่วมกันเดินขบวนจากสวนสันติชัยปราการ ไปยังหน้าองค์การสหประชาชาติ เพื่อยืนยันถึงจุดยืนที่เรียกร้องให้เวทีการหารือแก้ไขปัญหาโลกร้อน UN มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นธรรม และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วรับผิดชอบ ต้องชดใช้เต็มจำนวนต่อหนี้นิเวศน์ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย
ด้านนายบุญ แซ่จุ่ง ตัวแทนเครือข่ายที่ดินป่าไม้ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ของรัฐบาล กำลังกลายเป็นเหยื่อการแก้ปัญหาโลกร้อน เนื่องจากการเจรจาในเวที UN ที่พยายามหาทางเอาภาคป่าไม้ มาเป็นสินค้าในการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่รักษาได้นั้น ออกมาเป็นคาร์บอนเครดิต แล้วมีการซื้อขายกันนั้น เป็นการสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านที่อยู่ในเขตพื้นที่ ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งที่อยู่มาก่อนหลายชั่วอายุคน ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ถูกละเมิดสิทธิได้มากขึ้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าการรักษาพื้นที่ป่าจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เท่าใด เพราะคนที่ปล่อยมาก ควรต้องลดก่อน เช่น พวกอุตสาหกรรม และประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งแนวทางแก้ปัญหา ควรตั้งเป้าหมายที่กลุ่มนั้น มากกว่าที่จะมาบังคับการลดก๊าซเรือนกระจก จากภาคป่าไม้ที่เต็มไปด้วยปัญหาอยู่แล้ว
