บรรดาผู้นำจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและชาติเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่รายใหญ่ของโลกเริ่มการพบหารือกันเมื่อวานนี้ (24) เพื่อร่วมกันหาแนวทางผลักดันให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากภาวะถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา พร้อมทั้งหาแนวทางป้องกันหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 20 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก,สหรัฐฯ คราวนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ได้โอกาสสวมบทบาทเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการ โดยผู้นำสหรัฐฯ จะผลักดันเป้าประสงค์สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะ การเข้าจัดการกับปัญหาที่สหรัฐฯบอกว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นั่นก็คือ ปัญหาความไม่สมดุลกันอย่างร้ายแรงที่เกิดจากบรรดาชาติมหาอำนาจด้านการส่งออกอย่างจีนและเยอรมนี กับยักษ์ใหญ่ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสหรัฐฯ
ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมากล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมโดยย้ำถึงจุดยืนอันแน่วแน่ของรัฐบาลสหรัฐฯว่า " ถึงเวลาแล้วที่ชาวอเมริกันจะต้องอดออมมากขึ้น และบรรดาชาติที่มุ่งจะขายสินค้าให้กับเราคงจะต้องเรียนรู้ที่จะมองหาช่องทางอื่นๆ ในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับตัวเอง"
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่า การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ที่สหรัฐฯ เรียกร้องคงจะต้องใช้ความพยายามอย่างสำคัญในการผลักดันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เนื่องจากดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะทำให้ชาติที่เน้นการส่งออกเป็นหลักและมีสัดส่วนการออมสูงถึงร้อยละ40 ของรายได้อย่างจีน จะต้องปรับบทบาทมาเป็น "ผู้ซื้อรายใหญ่" แทนสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมามีสัดส่วนการออมอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ของรายได้เท่านั้น
ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 20 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก,สหรัฐฯ คราวนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ได้โอกาสสวมบทบาทเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการ โดยผู้นำสหรัฐฯ จะผลักดันเป้าประสงค์สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะ การเข้าจัดการกับปัญหาที่สหรัฐฯบอกว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นั่นก็คือ ปัญหาความไม่สมดุลกันอย่างร้ายแรงที่เกิดจากบรรดาชาติมหาอำนาจด้านการส่งออกอย่างจีนและเยอรมนี กับยักษ์ใหญ่ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสหรัฐฯ
ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมากล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมโดยย้ำถึงจุดยืนอันแน่วแน่ของรัฐบาลสหรัฐฯว่า " ถึงเวลาแล้วที่ชาวอเมริกันจะต้องอดออมมากขึ้น และบรรดาชาติที่มุ่งจะขายสินค้าให้กับเราคงจะต้องเรียนรู้ที่จะมองหาช่องทางอื่นๆ ในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับตัวเอง"
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่า การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ที่สหรัฐฯ เรียกร้องคงจะต้องใช้ความพยายามอย่างสำคัญในการผลักดันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เนื่องจากดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะทำให้ชาติที่เน้นการส่งออกเป็นหลักและมีสัดส่วนการออมสูงถึงร้อยละ40 ของรายได้อย่างจีน จะต้องปรับบทบาทมาเป็น "ผู้ซื้อรายใหญ่" แทนสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมามีสัดส่วนการออมอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ของรายได้เท่านั้น
