เรือโท(หญิง) กชมน หรือ แก้ว (ขอสงวนนามสกุล) พร้อมเปิดเผยตัวเพื่อเดินหน้าต่อสู้คดีกรณีฟ้องร้องผู้บังคับบัญชาล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อปี 2548-2550 โดยในวันนี้ ได้เดินทางไปยื่นเอกสารหลักฐานการถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อให้มีการพิจารณาสอบสวนนายพลผู้บังคับบัญชา ใน 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม เพื่อมอบให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากนั้นเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อมอบเอกสารชุดเดียวกันให้กับนายกรัฐมนตรี และช่วงบ่ายจะเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อมอบเอกสารชุดดังกล่าวให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด
โดยวันนี้ เรือโท(หญิง) กชมน แต่งเครื่องแบบเต็มยศ พร้อมเข้าพบผู้บังคับบัญชา มีสีหน้ามั่นใจ แต่ยังไม่พร้อมที่จะพูดต่อสาธารณะ ขอไปให้ข้อมูลกับผู้บังคับบัญชา
ด้านนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านทนายความและประสานงานยังหน่วยงานต่างๆ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีข้าราชการมาขอให้ช่วยในลักษณะคล้ายๆ กัน คือ ถูกล่วงละเมิดในที่ทำงาน แต่เมื่อไม่ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างเรื่องก็จบลงตรงที่ฝ่ายที่กระทำไม่มีความผิด หากการสอบสวนพบว่านายพลคนดังกล่าวมีความผิดตามที่ผู้เสียหายร้องมาจริง ก็สามารถเอาผิดได้ ตั้งแต่ไล่ออก และหมดสิทธิ์บำเหน็จบำนาญ ซึ่งกรณีนี้ นายพลคนดังกล่าวมีกำหนดเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ก็ไม่กังวลเพราะคดีความมีอายุ 10 ปี พร้อมกันนี้ ยังขอเรียกร้องให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ขจัดความรุนแรงในที่ทำงานด้วย
ทั้งนี้ หลังจากที่เป็นข่าว มีภรรยาของนายพลคนดังกล่าว โทรศัพท์มายังเพื่อนของเรือโท(หญิง) กชมน ว่าจะฟ้องกลับ ซึ่งนางระเบียบรัตน์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ทางฝ่ายนายพลก็มีสิทธิฟ้องกรณีหมิ่นประมาทได้ ซึ่งหาก เรือโท(หญิง) กชมน ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ก็มีกฏหมายลงโทษอยู่แล้ว แต่การที่ตนเองออกมาให้ความช่วยเหลือนี้ เพราะมั่นใจในข้อมูลที่มีอยู่
โดยวันนี้ เรือโท(หญิง) กชมน แต่งเครื่องแบบเต็มยศ พร้อมเข้าพบผู้บังคับบัญชา มีสีหน้ามั่นใจ แต่ยังไม่พร้อมที่จะพูดต่อสาธารณะ ขอไปให้ข้อมูลกับผู้บังคับบัญชา
ด้านนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านทนายความและประสานงานยังหน่วยงานต่างๆ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีข้าราชการมาขอให้ช่วยในลักษณะคล้ายๆ กัน คือ ถูกล่วงละเมิดในที่ทำงาน แต่เมื่อไม่ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างเรื่องก็จบลงตรงที่ฝ่ายที่กระทำไม่มีความผิด หากการสอบสวนพบว่านายพลคนดังกล่าวมีความผิดตามที่ผู้เสียหายร้องมาจริง ก็สามารถเอาผิดได้ ตั้งแต่ไล่ออก และหมดสิทธิ์บำเหน็จบำนาญ ซึ่งกรณีนี้ นายพลคนดังกล่าวมีกำหนดเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ก็ไม่กังวลเพราะคดีความมีอายุ 10 ปี พร้อมกันนี้ ยังขอเรียกร้องให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ขจัดความรุนแรงในที่ทำงานด้วย
ทั้งนี้ หลังจากที่เป็นข่าว มีภรรยาของนายพลคนดังกล่าว โทรศัพท์มายังเพื่อนของเรือโท(หญิง) กชมน ว่าจะฟ้องกลับ ซึ่งนางระเบียบรัตน์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ทางฝ่ายนายพลก็มีสิทธิฟ้องกรณีหมิ่นประมาทได้ ซึ่งหาก เรือโท(หญิง) กชมน ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ก็มีกฏหมายลงโทษอยู่แล้ว แต่การที่ตนเองออกมาให้ความช่วยเหลือนี้ เพราะมั่นใจในข้อมูลที่มีอยู่