ฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงส่งผลให้กำแพงวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง อายุกว่า 50 ปี ที่ จ.น่าน ทรุดเป็นแนวยาวกว่า 10 เมตร
ขณะที่ชาวบ้านปางกลาง ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย ตรวจดูเครื่องตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและสัญญาณเตือนภัย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำป่าตลอด 24 ชั่วโมง
หัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า มีจุดเสี่ยงถึง 667 หมู่บ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีการบุกรุกป่าเพื่อทำไร่
เจ้าหน้าที่ระบุว่า พื้นที่ภาคเหนือที่ต้องเฝ้าระวังน้ำป่าและดินโคลนถล่มเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ จ.อุตรดิตถ์ น่าน แพร่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงใหม่ และเชียงราย เช่นเดียวกับ 2 จังหวัดในภาคใต้ คือ จ.ชุมพร และระนอง โดย จ.ชุมพร ได้แก่ อ.เมือง ท่าแซะ ทุ่งตะโก และพะโต๊ะ โดยเฉพาะ ต.ลับล่อ อ.ท่าแซะ มีโอกาสเกิดน้ำป่า ดินโคลนถล่มมากที่สุด หากฝนตกติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากมีแหล่งน้ำอยู่บนภูเขา
ส่วน จ.ระนอง พื้นที่ที่ต้องจับตา คือ อ.เมือง กระบุรี ละอุ่น และกะเปอร์ รวม 17 ตำบล 43 หมู่บ้าน
ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย ระบุว่า พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำป่าและแผ่นดินถล่มมากที่สุด ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ในหุบเขาหรือติดกับทางน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงใน 51 จังหวัด จำนวน 2,371 หมู่บ้าน พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยเกิดน้ำป่าและดินถล่มเสียหายอย่างหนักมาแล้ว คือ จ.อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย และตาก ส่วนภาคใต้ที่ จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี
ขณะที่ชาวบ้านปางกลาง ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย ตรวจดูเครื่องตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและสัญญาณเตือนภัย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำป่าตลอด 24 ชั่วโมง
หัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า มีจุดเสี่ยงถึง 667 หมู่บ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีการบุกรุกป่าเพื่อทำไร่
เจ้าหน้าที่ระบุว่า พื้นที่ภาคเหนือที่ต้องเฝ้าระวังน้ำป่าและดินโคลนถล่มเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ จ.อุตรดิตถ์ น่าน แพร่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงใหม่ และเชียงราย เช่นเดียวกับ 2 จังหวัดในภาคใต้ คือ จ.ชุมพร และระนอง โดย จ.ชุมพร ได้แก่ อ.เมือง ท่าแซะ ทุ่งตะโก และพะโต๊ะ โดยเฉพาะ ต.ลับล่อ อ.ท่าแซะ มีโอกาสเกิดน้ำป่า ดินโคลนถล่มมากที่สุด หากฝนตกติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากมีแหล่งน้ำอยู่บนภูเขา
ส่วน จ.ระนอง พื้นที่ที่ต้องจับตา คือ อ.เมือง กระบุรี ละอุ่น และกะเปอร์ รวม 17 ตำบล 43 หมู่บ้าน
ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย ระบุว่า พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำป่าและแผ่นดินถล่มมากที่สุด ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ในหุบเขาหรือติดกับทางน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงใน 51 จังหวัด จำนวน 2,371 หมู่บ้าน พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยเกิดน้ำป่าและดินถล่มเสียหายอย่างหนักมาแล้ว คือ จ.อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย และตาก ส่วนภาคใต้ที่ จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี
