นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เปิดเผยถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายปี 2552 ว่า ดีที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้ราคาอ้อยปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ คาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปี 2551/2552 น่าจะอยู่ที่ระดับ 920 บาทต่อตันอ้อย จากราคาขั้นต้นที่ 830 บาทต่อตันอ้อย และหากรวมค่าความหวานน่าจะทำให้ราคาอ้อยปีนี้ยืนอยู่ที่ระดับ 1,000 บาทต่อตันอ้อย ขณะเดียวกันทิศทางราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงจะทำให้ราคาอ้อยปี 2552/2553 ไม่ต่ำกว่าปีนี้ ซึ่งจะมีผลให้ปริมาณอ้อยไม่ลดลงจากปีก่อน
สำหรับทิศทางการส่งออกน้ำตาลทรายปีนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า คาดว่าจะมีประมาณ 5 ล้านตัน และเป็นโอกาสดีต่อการส่งออกน้ำตาลของไทย แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่อัตราการบริโภคจะยังมีการขยายตัว โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกน้ำตาลที่สำคัญของไทยกว่าร้อยละ 98 เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในด้านการขนส่ง โดยคาดว่าราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 14-15 เซนต์ต่อปอนด์ ซึ่งอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ โดยสร้างรายได้ต่อปีกว่า 80,000 ล้านบาท สร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยประมาณกว่า 190,000 ครอบครัว และแก่ภาคธุรกิจรวมทั้งอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากกว่า 1 ล้านคน หากมีการหมุนเวียนเงินจำนวนดังกล่าวในระบบเศรษฐกิจ 5 รอบ จะเพิ่มมูลค่าอีกกว่า 400,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ผลิตกระแสไฟฟ้า เอทานอล อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม
สำหรับทิศทางการส่งออกน้ำตาลทรายปีนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า คาดว่าจะมีประมาณ 5 ล้านตัน และเป็นโอกาสดีต่อการส่งออกน้ำตาลของไทย แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่อัตราการบริโภคจะยังมีการขยายตัว โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกน้ำตาลที่สำคัญของไทยกว่าร้อยละ 98 เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในด้านการขนส่ง โดยคาดว่าราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 14-15 เซนต์ต่อปอนด์ ซึ่งอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ โดยสร้างรายได้ต่อปีกว่า 80,000 ล้านบาท สร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยประมาณกว่า 190,000 ครอบครัว และแก่ภาคธุรกิจรวมทั้งอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากกว่า 1 ล้านคน หากมีการหมุนเวียนเงินจำนวนดังกล่าวในระบบเศรษฐกิจ 5 รอบ จะเพิ่มมูลค่าอีกกว่า 400,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ผลิตกระแสไฟฟ้า เอทานอล อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม