องค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกกำลังจะกลายเป็น โรคระบาดแพร่หลายกว้างขวาง (pandemic) แล้ว หลังจากที่พบว่าไวรัสสายพันธุ์นี้แพร่กระจายในมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วมาก
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามในรอบ 10 ปี ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีการระบาดของโรคซึ่งมีศักยภาพถึงขั้นกลายเป็น โรคระบาดแพร่หลายกว้างขวาง โดยก่อนหน้านี้คือกรณีของ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส์) ในปี 2003 และไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช5เอ็น1" ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายแรกในฮ่องกงเมื่อปี 1997 จากนั้นก็มีการแพร่ระบาดสู่มนุษย์อยู่เป็นพักๆ
นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในเอเชียซึ่งผ่านประสบการณ์การรับมือกับซาร์ส์และไข้หวัดนกมาแล้ว ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ไว้ดังต่อไปนี้
**กวนยี นักจุลชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง**
"เห็นได้ชัดว่าไวรัสนี้กำลังกลายโรคระบาดแพร่กระจายประจำถิ่น (endemic) ในบางประเทศแล้ว เชื้อไวรัสนี้มีฤทธิ์อ่อนมาก แต่นี่เป็นแค่รูปแบบหนึ่งเท่านั้น เมื่อปี 1918 ไข้หวัดใหญ่สเปน กลายเป็นโรคระบาดแพร่หลายกว้างขวาง ในระลอกแรกของการระบาดเชื้อก็มีฤทธิ์อ่อนเช่นกัน แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง และโรคเข้าสู่ระลอกที่ 2 ก็มีคนเสียชีวิตมากมาย ดังนั้นไวรัสนี้จะเหวี่ยงไปข้างไหน เรายังไม่สามารถรู้ได้
ในขณะนี้ มีโอกาสที่มันจะเป็นเชื้อที่มีฤทธิ์อ่อน แต่เราไม่สามารถบอกปัดไปเลยว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเชื้อที่สำแดงฤทธิ์รุนแรง และกระทั่งเมื่อมันเปลี่ยนไปมีฤทธิ์อ่อนลงไป มันก็ยังสามารถทำให้คนตายได้อยู่ดี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อ
แล้วใครกันที่จะกล้าพูดว่าเชื้อนี้จะไม่กลับไปรวมเข้ากับ (เชื้อไข้หวัดนก) เอช5เอ็น1 ในกรณีของโรคระบาดแพร่หลายกว้างขวางนั้น อัตราการติดเชื้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และโอกาสที่ไวรัสนี้จะพบและผสมกับ เอช5เอ็น1 ก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นไหนๆ ถ้าเชื้อนี้เข้าไปในอียิปต์, อินโดนีเซีย อันเป็นท้องถิ่นที่เอช5เอ็น1แพร่ระบาดอยู่ มันก็สามารถเปลี่ยนไปกลายเป็นเอช5เอ็น1ที่ทรงพลังมากๆ ซึ่งสามารถติดต่อระหว่างคนกับคนได้อย่างยิ่ง คราวนี้แหละเราจะต้องลำบากกันมากๆ มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม
สำหรับในตอนนี้ เราจำเป็นต้องจำกัดการติดต่อ และรักษาคนป่วย แยกพวกคนป่วยออกมา และทำการกักกันโรคต่อคนป่วยเหล่านี้ เรามีความสามารถเพิ่มขึ้นมากในการรับมือกับเชื้อนี้ ภายหลังเผชิญกับโรคซาร์ส และเชื้อเอช5เอ็น1มาหลายยกแล้ว นี่เป็นเรื่องทีเห็นชัดเจน และเราก็มียาต่อต้านไวรัสที่ใช้ได้ผลอีกด้วย
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามในรอบ 10 ปี ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีการระบาดของโรคซึ่งมีศักยภาพถึงขั้นกลายเป็น โรคระบาดแพร่หลายกว้างขวาง โดยก่อนหน้านี้คือกรณีของ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส์) ในปี 2003 และไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช5เอ็น1" ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายแรกในฮ่องกงเมื่อปี 1997 จากนั้นก็มีการแพร่ระบาดสู่มนุษย์อยู่เป็นพักๆ
นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในเอเชียซึ่งผ่านประสบการณ์การรับมือกับซาร์ส์และไข้หวัดนกมาแล้ว ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ไว้ดังต่อไปนี้
**กวนยี นักจุลชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง**
"เห็นได้ชัดว่าไวรัสนี้กำลังกลายโรคระบาดแพร่กระจายประจำถิ่น (endemic) ในบางประเทศแล้ว เชื้อไวรัสนี้มีฤทธิ์อ่อนมาก แต่นี่เป็นแค่รูปแบบหนึ่งเท่านั้น เมื่อปี 1918 ไข้หวัดใหญ่สเปน กลายเป็นโรคระบาดแพร่หลายกว้างขวาง ในระลอกแรกของการระบาดเชื้อก็มีฤทธิ์อ่อนเช่นกัน แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง และโรคเข้าสู่ระลอกที่ 2 ก็มีคนเสียชีวิตมากมาย ดังนั้นไวรัสนี้จะเหวี่ยงไปข้างไหน เรายังไม่สามารถรู้ได้
ในขณะนี้ มีโอกาสที่มันจะเป็นเชื้อที่มีฤทธิ์อ่อน แต่เราไม่สามารถบอกปัดไปเลยว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเชื้อที่สำแดงฤทธิ์รุนแรง และกระทั่งเมื่อมันเปลี่ยนไปมีฤทธิ์อ่อนลงไป มันก็ยังสามารถทำให้คนตายได้อยู่ดี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อ
แล้วใครกันที่จะกล้าพูดว่าเชื้อนี้จะไม่กลับไปรวมเข้ากับ (เชื้อไข้หวัดนก) เอช5เอ็น1 ในกรณีของโรคระบาดแพร่หลายกว้างขวางนั้น อัตราการติดเชื้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และโอกาสที่ไวรัสนี้จะพบและผสมกับ เอช5เอ็น1 ก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นไหนๆ ถ้าเชื้อนี้เข้าไปในอียิปต์, อินโดนีเซีย อันเป็นท้องถิ่นที่เอช5เอ็น1แพร่ระบาดอยู่ มันก็สามารถเปลี่ยนไปกลายเป็นเอช5เอ็น1ที่ทรงพลังมากๆ ซึ่งสามารถติดต่อระหว่างคนกับคนได้อย่างยิ่ง คราวนี้แหละเราจะต้องลำบากกันมากๆ มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม
สำหรับในตอนนี้ เราจำเป็นต้องจำกัดการติดต่อ และรักษาคนป่วย แยกพวกคนป่วยออกมา และทำการกักกันโรคต่อคนป่วยเหล่านี้ เรามีความสามารถเพิ่มขึ้นมากในการรับมือกับเชื้อนี้ ภายหลังเผชิญกับโรคซาร์ส และเชื้อเอช5เอ็น1มาหลายยกแล้ว นี่เป็นเรื่องทีเห็นชัดเจน และเราก็มียาต่อต้านไวรัสที่ใช้ได้ผลอีกด้วย