พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ เมื่อเช้านี้ผมได้บอกกับพี่น้องประชาชนว่า ในช่วง 4 วันข้างหน้านี้ รัฐบาลจะดำเนินการให้บ้านเมืองของเรากลับสู่ความสงบสุขโดยเร็วที่สุด กลับไปเป็นบ้านเมืองที่มีการปกครองด้วยนิติรัฐ ด้วยกฎหมาย ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองของเรานั้นมีหลักมีเกณฑ์ ซึ่งเป็นความสำคัญสูงสุดในการจะมีความมั่นคง เพื่อเป็นพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผมได้ย้ำมาโดยตลอดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่มีการชุมนุมทางการเมือง หรือมีกิจกรรมต่างๆ นั้น รัฐบาลได้พยายามเต็มความสามารถในการจะหลีกเลี่ยงในเรื่องของการเผชิญหน้า หรือการใช้ความรุนแรง แต่กลับปรากฏว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การชุมนุมกลับพัฒนาการไปเป็นการชุมนุมในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มีการปลุกระดมให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการไปปิดล้อมสถานที่ราชการ การบุกรุก การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งการตั้งรางวัลไล่ตามจับบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่อาจเพิกเฉยได้ ในช่วงที่ผ่านมาเราอาจจะมีข้อจำกัดเพราะพยายามจะรักษาบรรยากาศของบ้านเมือง แต่วันนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ แล้วก็จะมีแต่ความรุนแรง ความสูญเสีย หรือแม้กระทั่งการเผชิญหน้าระหว่างหมู่พี่น้องประชาชนด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ครับ ผมจึงได้ดำเนินการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในท้องที่ ซึ่งเมื่อสักครู่ได้มีการประกาศไปแล้ว และเมื่อได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงนี้ ผมได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบพนักงาน เจ้าหน้าที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ทั้งนี้ให้ท่านรองนายกฯ สุเทพ เป็นผู้รับผิดชอบในทุกท้องที่ที่ได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง นอกจากนั้นมีการออกข้อกำหนด ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความสงบเรียบร้อย ห้ามมิให้มีการเสนอข่าวการจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขในการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด ห้ามใช้อาคารหรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ใดๆ หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใดๆ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด และให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด
จากนั้นได้มีการออกประกาศตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานะการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548
ซึ่งเป็นเรื่องของการให้อำนาจหน้าที่แก่เจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ ในเรื่องของการจับกุม ควบคุมตัว ออกคำสั่งเรียกบุคคล ออกคำสั่งยึดหรืออายัดอาวุธ ออกคำสั่งตรวจค้น รื้อถอน ทำลายซึ่งอาคารสิ่งปลูกสร้าง สิ่งกีดขวางตามความจำเป็น ตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด รวมไปถึงอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้ผู้ใดออกไปนอกราชอาณาจักร รวมทั้งการซื้อขาย ใช้ หรือมีไว้ครอบครองซึ่งอาวุธ สินค้าเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะใช้ในการก่อความไม่สงบ
สามารถจะออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหาร เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ระงับเหตุการณ์ร้ายแรง แล้วให้ข้าราชการทหาร ตามที่กำหนดในคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงานหัวหน้าผู้รับผิดชอบนั้น ช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เพื่อระงับเหตุร้ายแรง หรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบ โดยด่วน
ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศเพื่อให้มีความพร้อมในเชิงเครื่องมือทางกฎหมายสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ซึ่งจะได้มีความมมั่นใจที่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ภายใต้การกำกับงานของท่านรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานในรายละเอียดทั้งหมด ผมเรียนกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งครับว่า ในการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง และการออกประกาศและข้อกำหนดต่างๆ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อนำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และผมยังยืนยันครับว่า รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสูญเสีย ให้เกิดปัญหาที่เป็นเรื่องที่จะเป็นเงื่อนไขในการลุกลามของสถานการณ์ต่อไป ขอให้พี่น้องประชาชนได้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาล เพื่อที่จะนำความสงบสุขกลับคืนมา ขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ แล้วจะได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ผมได้กราบเรียนพี่น้องประชาชนเมื่อช่วงเช้าต่อไป ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งครับ สวัสดีครับ
ผมได้ย้ำมาโดยตลอดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่มีการชุมนุมทางการเมือง หรือมีกิจกรรมต่างๆ นั้น รัฐบาลได้พยายามเต็มความสามารถในการจะหลีกเลี่ยงในเรื่องของการเผชิญหน้า หรือการใช้ความรุนแรง แต่กลับปรากฏว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การชุมนุมกลับพัฒนาการไปเป็นการชุมนุมในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มีการปลุกระดมให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการไปปิดล้อมสถานที่ราชการ การบุกรุก การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งการตั้งรางวัลไล่ตามจับบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่อาจเพิกเฉยได้ ในช่วงที่ผ่านมาเราอาจจะมีข้อจำกัดเพราะพยายามจะรักษาบรรยากาศของบ้านเมือง แต่วันนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ แล้วก็จะมีแต่ความรุนแรง ความสูญเสีย หรือแม้กระทั่งการเผชิญหน้าระหว่างหมู่พี่น้องประชาชนด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ครับ ผมจึงได้ดำเนินการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในท้องที่ ซึ่งเมื่อสักครู่ได้มีการประกาศไปแล้ว และเมื่อได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงนี้ ผมได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบพนักงาน เจ้าหน้าที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ทั้งนี้ให้ท่านรองนายกฯ สุเทพ เป็นผู้รับผิดชอบในทุกท้องที่ที่ได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง นอกจากนั้นมีการออกข้อกำหนด ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความสงบเรียบร้อย ห้ามมิให้มีการเสนอข่าวการจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขในการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด ห้ามใช้อาคารหรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ใดๆ หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใดๆ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด และให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ ทั้งนี้ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด
จากนั้นได้มีการออกประกาศตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานะการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548
ซึ่งเป็นเรื่องของการให้อำนาจหน้าที่แก่เจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ ในเรื่องของการจับกุม ควบคุมตัว ออกคำสั่งเรียกบุคคล ออกคำสั่งยึดหรืออายัดอาวุธ ออกคำสั่งตรวจค้น รื้อถอน ทำลายซึ่งอาคารสิ่งปลูกสร้าง สิ่งกีดขวางตามความจำเป็น ตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด รวมไปถึงอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้ผู้ใดออกไปนอกราชอาณาจักร รวมทั้งการซื้อขาย ใช้ หรือมีไว้ครอบครองซึ่งอาวุธ สินค้าเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะใช้ในการก่อความไม่สงบ
สามารถจะออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหาร เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ระงับเหตุการณ์ร้ายแรง แล้วให้ข้าราชการทหาร ตามที่กำหนดในคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงานหัวหน้าผู้รับผิดชอบนั้น ช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เพื่อระงับเหตุร้ายแรง หรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบ โดยด่วน
ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศเพื่อให้มีความพร้อมในเชิงเครื่องมือทางกฎหมายสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ซึ่งจะได้มีความมมั่นใจที่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ภายใต้การกำกับงานของท่านรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานในรายละเอียดทั้งหมด ผมเรียนกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งครับว่า ในการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง และการออกประกาศและข้อกำหนดต่างๆ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อนำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และผมยังยืนยันครับว่า รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสูญเสีย ให้เกิดปัญหาที่เป็นเรื่องที่จะเป็นเงื่อนไขในการลุกลามของสถานการณ์ต่อไป ขอให้พี่น้องประชาชนได้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาล เพื่อที่จะนำความสงบสุขกลับคืนมา ขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ แล้วจะได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ผมได้กราบเรียนพี่น้องประชาชนเมื่อช่วงเช้าต่อไป ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งครับ สวัสดีครับ