น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "นโยบายการพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงการเมกะโปรเจกต์" ว่า จากการที่รัฐบาลกำหนดงบประมาณลงทุนวงเงิน 1.56 ล้านล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี (ปี 2553-2555) คาดว่าจะได้ข้อสรุปโครงการลงทุนในช่วง 1 เดือนข้างหน้า
น.พ.พฤฒิชัย กล่าวว่า โครงการลงทุนดังกล่าว จะเน้นลงทุนด้านระบบชลประทาน 230,000 ล้านบาท การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ 1.14 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 72 ของงบประมาณลงทุนทั้งหมด ด้านการท่องเที่ยว 6,617 ล้านบาท การยกระดับการศึกษา 60,000 ล้านบาท การปฏิรูประบบสาธาณสุข 9,000 ล้านบาท และการยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ 100,000 ล้านบาท และจะให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาลประมาณ 300,000 ล้านบาท เชื่อว่า จะมีส่วนช่วยให้การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า เพื่อให้งบลงทุนของส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายล่าช้า 21 หน่วยงาน ซึ่งมักจะลงนามสัญญาในช่วงปลายปีงบประมาณ มีการเบิกจ่ายเร็วขึ้น คณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จึงได้เร่งรัดให้ส่วนราชการต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2552 ไปแล้วให้รีบดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่เช่นนั้นในปีงบประมาณต่อไปจะถูกตัดงบประมาณ โดยให้จัดประมูล ก่อสร้างโครงการต่างๆ ให้เกิดการจ้างงานในช่วงนี้ ซึ่งมีหลายหน่วยงานให้ความร่วมมือ ทำให้มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมี 5 หน่วยงานไม่ยอมดำเนินการโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ จึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้าให้เป็นมติเร่งรัดการเบิกจ่ายเพื่อให้งบประมาณปี 2552 เบิกจ่ายให้ได้ร้อยละ 94 ตามเป้าหมาย
น.พ.พฤฒิชัย กล่าวว่า โครงการลงทุนดังกล่าว จะเน้นลงทุนด้านระบบชลประทาน 230,000 ล้านบาท การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ 1.14 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 72 ของงบประมาณลงทุนทั้งหมด ด้านการท่องเที่ยว 6,617 ล้านบาท การยกระดับการศึกษา 60,000 ล้านบาท การปฏิรูประบบสาธาณสุข 9,000 ล้านบาท และการยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ 100,000 ล้านบาท และจะให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาลประมาณ 300,000 ล้านบาท เชื่อว่า จะมีส่วนช่วยให้การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า เพื่อให้งบลงทุนของส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายล่าช้า 21 หน่วยงาน ซึ่งมักจะลงนามสัญญาในช่วงปลายปีงบประมาณ มีการเบิกจ่ายเร็วขึ้น คณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จึงได้เร่งรัดให้ส่วนราชการต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2552 ไปแล้วให้รีบดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่เช่นนั้นในปีงบประมาณต่อไปจะถูกตัดงบประมาณ โดยให้จัดประมูล ก่อสร้างโครงการต่างๆ ให้เกิดการจ้างงานในช่วงนี้ ซึ่งมีหลายหน่วยงานให้ความร่วมมือ ทำให้มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมี 5 หน่วยงานไม่ยอมดำเนินการโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ จึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้าให้เป็นมติเร่งรัดการเบิกจ่ายเพื่อให้งบประมาณปี 2552 เบิกจ่ายให้ได้ร้อยละ 94 ตามเป้าหมาย
