พ.อ.ปริญญา ฉายดิลก หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนอาจมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนว่าการใช้กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือใช้อำนาจข่มขู่และจับกุมคุมขังประชาชนผู้บริสุทธิ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอชี้แจงทำความเข้าใจว่า การใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ หรือก่อเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ก่อนที่จะหลบหนีไป เพราะการก่ออาชญากรรม โดยอาศัยการก่อความไม่สงบนี้ เป็นการดำเนินการที่มีลักษณะเป็นขบวนการที่ปิดลับ มิใช่อาชญากรรมธรรมดา แต่เป็นอาชญากรที่เกิดจากแนวความคิดที่ได้ถูกหล่อหลอมมา จึงไม่สามารถใช้กฎหมายปกติในการแก้ไขปัญหาได้
ซึ่งจากการใช้กฎหมายดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถขยายผลนำไปสู่การติดตามจับกุมและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ วัตถุระเบิด ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเตรียมการใช้ในการก่อเหตุได้เป็นจำนวนมาก โดยกฎอัยการศึกให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร ในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำความผิดที่ถูกจับกุมได้ไม่เกิน 7 วัน ในการควบคุมตัวครั้งต่อไป ต้องอาศัยอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยขออำนาจจากศาลในการควบคุมตัวต่อไปครั้งละ 7 วัน แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน แต่ในทางปฏิบัติจะควบคุมตัวเท่าที่จำเป็น โดยพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ต้องสงสัยและญาติพี่น้อง รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 มีนโยบายชัดเจนที่ต้องการให้ใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา
หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจข้อมูลประชาชน ในพื้นที่ อ.บันนังสตา และอ.ยะหา จ.ยะลา ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการให้คงมาตรการห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานไว้ก่อน เนื่องจากเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย และที่สำคัญคือเหตุการณ์ความไม่สงบลดลงมาก ประชาชนมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
ซึ่งจากการใช้กฎหมายดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถขยายผลนำไปสู่การติดตามจับกุมและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ วัตถุระเบิด ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเตรียมการใช้ในการก่อเหตุได้เป็นจำนวนมาก โดยกฎอัยการศึกให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร ในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำความผิดที่ถูกจับกุมได้ไม่เกิน 7 วัน ในการควบคุมตัวครั้งต่อไป ต้องอาศัยอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยขออำนาจจากศาลในการควบคุมตัวต่อไปครั้งละ 7 วัน แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน แต่ในทางปฏิบัติจะควบคุมตัวเท่าที่จำเป็น โดยพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ต้องสงสัยและญาติพี่น้อง รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 มีนโยบายชัดเจนที่ต้องการให้ใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา
หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจข้อมูลประชาชน ในพื้นที่ อ.บันนังสตา และอ.ยะหา จ.ยะลา ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการให้คงมาตรการห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานไว้ก่อน เนื่องจากเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย และที่สำคัญคือเหตุการณ์ความไม่สงบลดลงมาก ประชาชนมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น