"สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 5,374 คน ระหว่างวันที่ 21-26 มกราคม 2552 สรุปผลการสำรวจ พบว่าปัญหาสังคมที่ต้องเร่งแก้โขโดยด่วน อันดับแรกคือ ยาเสพติด ร้อยละ 20.03 รองลงมาปล้นฆ่า โจร ขโมยร้อยละ 19.32 ฆ่าข่มขืน การคุกคามทางเพศ ร้อยละ 17.35 คอร์รัปชัน ร้อยละ 14.82
ทั้งนี้ ปัญหาสังคมในปัจจุบัน เทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 92.02 เหตุเพราะคนในสังคมไม่เคารพกฎหมาย คนจนมากขึ้น อิทธิพลของสื่อมีมาก สังคมเสื่อมโทรมมากขึ้น เศรษฐกิจตกต่ำ ขณะที่ร้อยละ 7.98 ระบุเท่าเดิม เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ยังไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง
กลุ่มตัวอย่าง ระบุการเมือง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทำให้ปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 89.38 เพราะฝ่ายบริหารประเทศต่างแก่งแย่ง ต้องการอำนาจไม่หันมาดูแลประชาชนอย่างจริงจัง การเมืองทำให้คนเครียดส่งผลต่ออารมณ์ ตำรวจไม่มีเวลาจับผู้ร้ายเพราะต้องดูแลม็อบ มีเพียงร้อยละ 10.62 ระบุเท่าเดิม โดยให้เหตุผลว่าทุกอย่างคงเหมือนเดิม นักการเมืองยังเอาชนะคะคานกันอยู่
นอกจากนี้ ยังพบว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ทำให้ปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 96.47 เหตุเพราะคนว่างงานและยากจนมากขึ้น สินค้ามีราคาแพงทำให้คนต้องดิ้นรน คนในสังคมเอาเปรียบกันมากขึ้น มีเพียงร้อยละ 3.53 เท่านั้นระบุเท่าเดิม เพราะปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่มีใครแก้ไขอย่างจริงจัง
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม ร้อยละ 39.87 เห็นว่านักการเมืองควรสร้างสามัคคี ควรหยุดทะเลาะกัน/ลดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม ร้อยละ 23.42 ให้เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการว่างงาน ค่าครองชีพ และความยากจน ร้อยละ 14.56 ให้เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ต้องเอาจริงเอาจังกับผู้ที่ทำผิดมากขึ้น ร้อยละ 12.66 ให้ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสังคมอย่างจริงจังและต่อเนื่องและร้อยละ 9.49 ควรปลูกฝังและรณรงค์ด้านคุณธรรม จริยธรรมให้กับทุกคนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ด้านหน่วยงานหรือบุคคลที่ประชาชนจะฝากความหวังในการแก้ไขปัญหาสังคม อันดับแรกหรือร้อยละ 37.79 ให้รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐแก้ไข ร้อยละ 31.79 ให้ประชาชนทุกคนและทุกกลุ่ม ร้อยละ 17.52 ระบุนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 7.83 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้อยละ 5.07 ระบุสถาบันครอบครัว
ทั้งนี้ ปัญหาสังคมในปัจจุบัน เทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 92.02 เหตุเพราะคนในสังคมไม่เคารพกฎหมาย คนจนมากขึ้น อิทธิพลของสื่อมีมาก สังคมเสื่อมโทรมมากขึ้น เศรษฐกิจตกต่ำ ขณะที่ร้อยละ 7.98 ระบุเท่าเดิม เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ยังไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง
กลุ่มตัวอย่าง ระบุการเมือง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทำให้ปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 89.38 เพราะฝ่ายบริหารประเทศต่างแก่งแย่ง ต้องการอำนาจไม่หันมาดูแลประชาชนอย่างจริงจัง การเมืองทำให้คนเครียดส่งผลต่ออารมณ์ ตำรวจไม่มีเวลาจับผู้ร้ายเพราะต้องดูแลม็อบ มีเพียงร้อยละ 10.62 ระบุเท่าเดิม โดยให้เหตุผลว่าทุกอย่างคงเหมือนเดิม นักการเมืองยังเอาชนะคะคานกันอยู่
นอกจากนี้ ยังพบว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ทำให้ปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 96.47 เหตุเพราะคนว่างงานและยากจนมากขึ้น สินค้ามีราคาแพงทำให้คนต้องดิ้นรน คนในสังคมเอาเปรียบกันมากขึ้น มีเพียงร้อยละ 3.53 เท่านั้นระบุเท่าเดิม เพราะปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่มีใครแก้ไขอย่างจริงจัง
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม ร้อยละ 39.87 เห็นว่านักการเมืองควรสร้างสามัคคี ควรหยุดทะเลาะกัน/ลดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม ร้อยละ 23.42 ให้เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการว่างงาน ค่าครองชีพ และความยากจน ร้อยละ 14.56 ให้เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ต้องเอาจริงเอาจังกับผู้ที่ทำผิดมากขึ้น ร้อยละ 12.66 ให้ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสังคมอย่างจริงจังและต่อเนื่องและร้อยละ 9.49 ควรปลูกฝังและรณรงค์ด้านคุณธรรม จริยธรรมให้กับทุกคนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ด้านหน่วยงานหรือบุคคลที่ประชาชนจะฝากความหวังในการแก้ไขปัญหาสังคม อันดับแรกหรือร้อยละ 37.79 ให้รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐแก้ไข ร้อยละ 31.79 ให้ประชาชนทุกคนและทุกกลุ่ม ร้อยละ 17.52 ระบุนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 7.83 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้อยละ 5.07 ระบุสถาบันครอบครัว