วานนี้ (6 มี.ค.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมงานฉลอง100 ปี วันสตรีสากล พร้อมรับหนังสือประกาศเจตนารมณ์จากตัวแทนองค์กรสตรีฯ โดยมีเนื้อหาว่า 1. ผู้หญิงทำงานทุกกลุ่มจะต้องได้ทำงานในระบบ สามแปด ที่เป็นจริง โดยมีระบบสวัสดิการสังคมที่จำเป็นจากเกิดจนตาย ทั้งแรงงานในระบบนอกระบบ ลูกจ้างภาครัฐ หญิงบริการ แรงงานเกษตร และประมง ให้เกษียณอายุจากการทำงานเมื่อครบ 60 ปี ยอมรับให้เข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยรัฐส่งเงินสมทบในอัตราไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ให้มีบำนาญประชาชน ต้องมีมาตรการเด็ดขาดห้ามเลิกจ้างคนท้อง ส่งเสริมให้มีศูนย์เลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพ และต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่า ด้วยสิทธิ์การคุ้มครองการเป็นมารดา เพื่อให้ได้รับสวัสดิการข้าจ้างในช่วงที่คลอดบุตร
2. ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างมีคุณภาพ
3. การคุ้มครองดูแลผู้หญิงจากทัศนคติเหมารวม และเลือกปฏิบัติ ทั้งในกรณีตั้งท้องไม่พร้อม การคุกคามทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว
และ 4. ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมตัดสินใจวางแผนทุกระดับ เช่นคณะกรรมการไตรภาคี กรรมการองค์กรอิสระ และการมีสัดส่วนนักการเมืองหญิงเพิ่มขึ้นทุกระดับ
จากนั้นนายกฯ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ผู้หญิงทำงาน สู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนทุกคน” ว่า การประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะสตรี ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิสตรี ขอย้ำว่ารัฐบาลได้ให้ความสนใจใส่ใจติดตามแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เมื่อตนเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน บ้านเมืองเจอวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และต้องยอมรับว่าเรามีปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมในสังคม ทำให้ต้องทบทวนนโยบายเพื่อประโยชน์ของคุณภาพชีวิต เพราะเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจผลกระทบจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะแรงงานที่เป็นผู้หญิง จะมีการปลดแรงงาน ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลได้เน้นย้ำการที่จะฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมา ต้องหยุดยั้งปัญหาการว่างงาน จึงเป็นที่มาของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนไม่ตกงาน ที่สำคัญมีโครงการต้นกล้าอาชีพ ถือเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจไทยในประเทศในช่วงวิกฤตสามารถดำเนินการไปได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินการผลักดัน ทั้งเรื่องค่าจ้างแรงงาน โดยเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ได้มีการทบทวนระบบประกันสังคม อย่างเป็นระบบในครั้งแรก สำหรับกรณีของผู้หญิงที่มีปัญหาเป็นการเฉพาะ โดยส่วนตัวได้ติดตามปัญหามาโดยตลอด ที่พบเห็นชัดเจนขณะนี้คือ ข้อจำกัดของสตรีไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หลายครั้งพบความจริงว่ามีการแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเสมอภาค แต่ในทางปฏิบัติก็ยังติดขัดในบางปัญหา โดยเฉพาะปัญหาด้านทัศนคติของคนในสังคม ทำให้เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้รับการเคารพ นอกจากนนี้สถิติในหลายประเทศยังพบว่าโอกาสการทำงานของผู้หญิงจะถูกจำกัด เมื่อเริ่มต้นมีครอบครัว ตรงนี้จึงจำเป็นที่ต้องผลักดันนโยบายที่เป็นข้อเฉพาะ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยตรง
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในภาพรวมของคำประกาศเจตนารมณ์ กับสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วและปรากฏผล ถือว่าเป็นสิ่งที่สอดคล้องต้องกัน และตนตระหนักดีว่ามีหลายเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ ต้องทำเพิ่มเติม และยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานใกล้ชิดเครือข่ายภาคประชาชน หวังว่าทุกท่านจะช่วยกันผลักดันต่อไป เพราะโครงสร้างทางสังคมจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดโครงเศรษฐกิจไทย เพราะตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะประกาศว่าไม่ใช่เศรษฐกิจที่จะพึ่งค่าแรง แต่ต้องเป็นเศรษฐกิจที่สร้างโอกาสให้กับแรงงาน และการที่เรามีค่าแรงที่สูงจะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความสำคัญและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงในการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศ แต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อให้เกิดการยอมรับจากทุกภาคส่วน
“สำหรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองและเรื่องอื่นๆนั้น ผมคิดว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้จะเป็นโอกาสดี ที่พรรคการเมืองต่างๆจะได้นำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสตรี และความก้าวหน้ากับคุณภาพชีวิต ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนสำหรับหญิงชายให้เสมอภาคกัน” นายกฯ กล่าว
2. ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างมีคุณภาพ
3. การคุ้มครองดูแลผู้หญิงจากทัศนคติเหมารวม และเลือกปฏิบัติ ทั้งในกรณีตั้งท้องไม่พร้อม การคุกคามทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว
และ 4. ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมตัดสินใจวางแผนทุกระดับ เช่นคณะกรรมการไตรภาคี กรรมการองค์กรอิสระ และการมีสัดส่วนนักการเมืองหญิงเพิ่มขึ้นทุกระดับ
จากนั้นนายกฯ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ผู้หญิงทำงาน สู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนทุกคน” ว่า การประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะสตรี ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิสตรี ขอย้ำว่ารัฐบาลได้ให้ความสนใจใส่ใจติดตามแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เมื่อตนเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน บ้านเมืองเจอวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และต้องยอมรับว่าเรามีปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมในสังคม ทำให้ต้องทบทวนนโยบายเพื่อประโยชน์ของคุณภาพชีวิต เพราะเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจผลกระทบจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะแรงงานที่เป็นผู้หญิง จะมีการปลดแรงงาน ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลได้เน้นย้ำการที่จะฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมา ต้องหยุดยั้งปัญหาการว่างงาน จึงเป็นที่มาของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนไม่ตกงาน ที่สำคัญมีโครงการต้นกล้าอาชีพ ถือเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจไทยในประเทศในช่วงวิกฤตสามารถดำเนินการไปได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินการผลักดัน ทั้งเรื่องค่าจ้างแรงงาน โดยเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ได้มีการทบทวนระบบประกันสังคม อย่างเป็นระบบในครั้งแรก สำหรับกรณีของผู้หญิงที่มีปัญหาเป็นการเฉพาะ โดยส่วนตัวได้ติดตามปัญหามาโดยตลอด ที่พบเห็นชัดเจนขณะนี้คือ ข้อจำกัดของสตรีไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หลายครั้งพบความจริงว่ามีการแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเสมอภาค แต่ในทางปฏิบัติก็ยังติดขัดในบางปัญหา โดยเฉพาะปัญหาด้านทัศนคติของคนในสังคม ทำให้เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้รับการเคารพ นอกจากนนี้สถิติในหลายประเทศยังพบว่าโอกาสการทำงานของผู้หญิงจะถูกจำกัด เมื่อเริ่มต้นมีครอบครัว ตรงนี้จึงจำเป็นที่ต้องผลักดันนโยบายที่เป็นข้อเฉพาะ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยตรง
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในภาพรวมของคำประกาศเจตนารมณ์ กับสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วและปรากฏผล ถือว่าเป็นสิ่งที่สอดคล้องต้องกัน และตนตระหนักดีว่ามีหลายเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ ต้องทำเพิ่มเติม และยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานใกล้ชิดเครือข่ายภาคประชาชน หวังว่าทุกท่านจะช่วยกันผลักดันต่อไป เพราะโครงสร้างทางสังคมจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดโครงเศรษฐกิจไทย เพราะตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะประกาศว่าไม่ใช่เศรษฐกิจที่จะพึ่งค่าแรง แต่ต้องเป็นเศรษฐกิจที่สร้างโอกาสให้กับแรงงาน และการที่เรามีค่าแรงที่สูงจะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความสำคัญและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงในการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศ แต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อให้เกิดการยอมรับจากทุกภาคส่วน
“สำหรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองและเรื่องอื่นๆนั้น ผมคิดว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้จะเป็นโอกาสดี ที่พรรคการเมืองต่างๆจะได้นำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสตรี และความก้าวหน้ากับคุณภาพชีวิต ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนสำหรับหญิงชายให้เสมอภาคกัน” นายกฯ กล่าว