สถานการณ์ทางเศรษฐกิจส่อเค้าจะเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก หลังประธานาธิบดีบารัค โอบามาเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร(20)ที่ผ่านมา โดยที่วิกฤตธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกทำท่าทรุดหนัก อีกทั้งมีเสียงคาดเก็งกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ภาครัฐของหลายประเทศอาจถึงขั้นต้องโอนกิจการในภาคนี้เข้าเป็นของรัฐ
ราคาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินในตลาดวอลสตรีทวันอังคารดิ่งลงอย่างรุนแรง หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลอังกฤษต้องเข้าแทรกแซงช่วยเหลือแบงก์และสถาบันการเงินหลายแห่ง ขณะที่เบลเยี่ยมก็มีแผนจะเข้าช่วยชีวิตภาคการเงินเป็นครั้งที่ 2 ในเร็ว ๆ นี้
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 21 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤตที่นับวันจะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
"หุ้นภาคการเงินมีแนวโน้มจะดิ่งลงไปอีก เพราะมีการคาดการณ์กันว่าตัวเลขหนี้เสียจะเพิ่มสูงขึ้น" ร็อด สมิธ แห่งริเวอร์ฟรอนต์ อินเวสต์เมนต์ กรุ๊ป กล่าวและเสริมว่า ก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่าตัวเลขความสูญเสียในภาคการเงินมียอดสูงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถึงตอนนี้นักวิเคราะห์ในตลาดวอลสตรีทและของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ. เชื่อว่าอาจสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์หรือใกล้เคียง
"สิ่งที่นักลงทุนกังวลกันมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลอาจจะต้องอัดฉีดสภาพคล่องให้แก่สถาบันการเงินต่าง ๆ มากขึ้นอีก ซึ่งหมายความว่าสถาบันการเงินเหล่านั้นจะต้องนำผลกำไรที่ได้ในอนาคตมาใช้หนี้รัฐบาลก่อนจะปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังกลัวกันอีกว่าสถาบันการเงินบางแห่งอาจถูกโอนเป็นของรัฐโดยผู้ถือหุ้นไม่ได้อะไรตอบแทนเลย" สมิธกล่าว
ราคาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินในตลาดวอลสตรีทวันอังคารดิ่งลงอย่างรุนแรง หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลอังกฤษต้องเข้าแทรกแซงช่วยเหลือแบงก์และสถาบันการเงินหลายแห่ง ขณะที่เบลเยี่ยมก็มีแผนจะเข้าช่วยชีวิตภาคการเงินเป็นครั้งที่ 2 ในเร็ว ๆ นี้
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 21 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤตที่นับวันจะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
"หุ้นภาคการเงินมีแนวโน้มจะดิ่งลงไปอีก เพราะมีการคาดการณ์กันว่าตัวเลขหนี้เสียจะเพิ่มสูงขึ้น" ร็อด สมิธ แห่งริเวอร์ฟรอนต์ อินเวสต์เมนต์ กรุ๊ป กล่าวและเสริมว่า ก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่าตัวเลขความสูญเสียในภาคการเงินมียอดสูงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถึงตอนนี้นักวิเคราะห์ในตลาดวอลสตรีทและของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ. เชื่อว่าอาจสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์หรือใกล้เคียง
"สิ่งที่นักลงทุนกังวลกันมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลอาจจะต้องอัดฉีดสภาพคล่องให้แก่สถาบันการเงินต่าง ๆ มากขึ้นอีก ซึ่งหมายความว่าสถาบันการเงินเหล่านั้นจะต้องนำผลกำไรที่ได้ในอนาคตมาใช้หนี้รัฐบาลก่อนจะปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังกลัวกันอีกว่าสถาบันการเงินบางแห่งอาจถูกโอนเป็นของรัฐโดยผู้ถือหุ้นไม่ได้อะไรตอบแทนเลย" สมิธกล่าว