นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จะมีการหารือกับนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดร่างทีโออาร์ หลักเกณฑ์การศึกษาเชิงลึกโครงการลงทุนเหล็กขนาดใหญ่ ทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย โดยมีข้อเท็จจริงยืนยัน
ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการโรงถลุงเหล็กถือเป็นการลงทุนระยะยาว การตัดสินใจลงทุนต้องคำนึงว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมีอนาคตที่ดีหรือไม่ ความต้องการใช้เหล็กในไทยมีการขยายตัวต่อเนื่องหรือไม่ เพียงแต่ปัจจุบันไทยขาดเสถียรภาพทางการเมือง และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย คงไม่ตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือยกเลิกการลงทุนภายในปี 2552 เพราะต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และความพร้อมด้านสถานที่ตั้งโรงงาน
ทั้งนี้ นายวิกรม ชี้แจงว่า ประเทศไทยนำเข้าเหล็กสูงถึงปีละ 5 แสนล้านบาท จึงเป็นตลาดสำคัญที่ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกต่างสนใจที่จะเข้ามาปักฐานลงทุน เพื่อฉกฉวยโอกาส แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลง แต่ยอดการผลิตรถยนต์ยังสูงอยู่ระดับ 1 ล้านคัน ขณะที่ค่าเงินเยนแข็ง เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นในการเข้ามาลงทุนเพราะจะลงทุนถูกลงเชื่อว่าหากการเมืองไทยนิ่งกว่านี้ โอกาสที่ญี่ปุ่นจะย้ายฐานมาไทยจะเพิ่มขึ้น หากภาคเอกชนอาศัยจังหวะภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในการเข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ย่อมได้ประโยชน์ เนื่องจากค่าก่อสร้าง และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ปรับลดลงอย่างมาก และกว่าโครงการจะแล้วเสร็จก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี พอถึงจังหวะนั้นเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ยังกล่าวถึงโครงการโรงถลุงเหล็กของเครือสหวิริยาที่ล่าช้า ว่า การคัดค้านของชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งเอ็นจีโอ จำเป็นที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนถึงประโยชน์ ผลดีและผลเสียของโครงการ รวมไปถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งการคัดค้านโดยไม่ฟังเหตุผลนั้น ไม่ถูกต้อง
ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการโรงถลุงเหล็กถือเป็นการลงทุนระยะยาว การตัดสินใจลงทุนต้องคำนึงว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมีอนาคตที่ดีหรือไม่ ความต้องการใช้เหล็กในไทยมีการขยายตัวต่อเนื่องหรือไม่ เพียงแต่ปัจจุบันไทยขาดเสถียรภาพทางการเมือง และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย คงไม่ตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือยกเลิกการลงทุนภายในปี 2552 เพราะต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และความพร้อมด้านสถานที่ตั้งโรงงาน
ทั้งนี้ นายวิกรม ชี้แจงว่า ประเทศไทยนำเข้าเหล็กสูงถึงปีละ 5 แสนล้านบาท จึงเป็นตลาดสำคัญที่ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกต่างสนใจที่จะเข้ามาปักฐานลงทุน เพื่อฉกฉวยโอกาส แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลง แต่ยอดการผลิตรถยนต์ยังสูงอยู่ระดับ 1 ล้านคัน ขณะที่ค่าเงินเยนแข็ง เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นในการเข้ามาลงทุนเพราะจะลงทุนถูกลงเชื่อว่าหากการเมืองไทยนิ่งกว่านี้ โอกาสที่ญี่ปุ่นจะย้ายฐานมาไทยจะเพิ่มขึ้น หากภาคเอกชนอาศัยจังหวะภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในการเข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ย่อมได้ประโยชน์ เนื่องจากค่าก่อสร้าง และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ปรับลดลงอย่างมาก และกว่าโครงการจะแล้วเสร็จก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี พอถึงจังหวะนั้นเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ยังกล่าวถึงโครงการโรงถลุงเหล็กของเครือสหวิริยาที่ล่าช้า ว่า การคัดค้านของชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งเอ็นจีโอ จำเป็นที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนถึงประโยชน์ ผลดีและผลเสียของโครงการ รวมไปถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งการคัดค้านโดยไม่ฟังเหตุผลนั้น ไม่ถูกต้อง
