รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยว่า ผลศึกษาโครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ซึ่งสภาพัฒน์เตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ได้กำหนดพื้นที่เหมาะสมในการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจำนวน 4 แห่ง คือ บริเวณแหลมช่องพระ อ.ปะทิว จ.ชุมพร บริเวณบ้านแหลมทวด อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี บริเวณบ้านบางปอ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และบริเวณตำบลกุยเหนือ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์เสนอให้รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ เพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งกายภาพ การยอมรับของชุมชน ขณะที่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เสนอให้มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงมหาดไทย หารือร่วมกับนักลงทุน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้กลไกระดับพื้นที่ และมีคณะทำงานไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วย ภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน และชุมชน
นอกจากนี้ ในส่วนการจัดตั้งองค์กรอิสระตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนตามมาตรา 67 และเร่งรัดให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อการดำเนินโครงการ รวมทั้งจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนดำเนินโครงการ
รายงานข่าวระบุว่า สภาพัฒน์ยังได้เสนอแนวทางในการพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนควรกำหนดเงื่อนไขอาทิ ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่มีมาตรฐานสูง ห้ามใช้เครื่องจักรเก่าจากต่างประเทศ ต้องใช้สินแร่เหล็กและวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง มีระบบควบคุมการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ติดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมตลอด 24ชั่วโมง มีระบบเตือนภัย มีแผนงานในการทำงานร่วมกับชุมชน ในการปรับปรุงและพัฒนาอาชีพของคนในชุมชนจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่ระบุรายละเอียด วงเงินลงทุนที่จะจัดสรรเพื่อประโยชน์ของชุมชน จัดทำแผนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและลดมลพิษ โดยระบุถึงวงเงินลงทุนที่จะจัดสรรเพื่องานวิจัยและพัฒนาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการวิจัยและพัฒนา
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์เสนอให้รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ เพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งกายภาพ การยอมรับของชุมชน ขณะที่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เสนอให้มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงมหาดไทย หารือร่วมกับนักลงทุน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้กลไกระดับพื้นที่ และมีคณะทำงานไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วย ภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน และชุมชน
นอกจากนี้ ในส่วนการจัดตั้งองค์กรอิสระตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนตามมาตรา 67 และเร่งรัดให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อการดำเนินโครงการ รวมทั้งจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนดำเนินโครงการ
รายงานข่าวระบุว่า สภาพัฒน์ยังได้เสนอแนวทางในการพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนควรกำหนดเงื่อนไขอาทิ ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่มีมาตรฐานสูง ห้ามใช้เครื่องจักรเก่าจากต่างประเทศ ต้องใช้สินแร่เหล็กและวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง มีระบบควบคุมการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ติดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมตลอด 24ชั่วโมง มีระบบเตือนภัย มีแผนงานในการทำงานร่วมกับชุมชน ในการปรับปรุงและพัฒนาอาชีพของคนในชุมชนจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่ระบุรายละเอียด วงเงินลงทุนที่จะจัดสรรเพื่อประโยชน์ของชุมชน จัดทำแผนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและลดมลพิษ โดยระบุถึงวงเงินลงทุนที่จะจัดสรรเพื่องานวิจัยและพัฒนาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการวิจัยและพัฒนา
