นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกสินค้าไทยปีหน้าจะต้องเผชิญการแข่งขันสูงและรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นต้นไป ผลพวงจากกำลังซื้อประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ลดลงมาก ทำให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าพยายามแข่งขันด้านราคา เนื่องจากคุณภาพสินค้าเป็นที่ทราบอยู่แล้ว ดังนั้น ภาครัฐควรตั้งเป้าหมายไว้ในใจว่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงอาจเป็นร้อยละ 5-10 เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะหากสินค้าส่งออกได้ก็จะส่งผลดีต่อประเทศ การจะหาตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ง่ายต้องใช้เวลา ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำเต็มที่แล้ว
นายสันติ กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลง หากทำได้จะช่วยให้สินค้าเกษตรส่งออกได้ ขณะเดียวกันการที่เงินบาทอ่อนค่าบางฝ่ายหวั่นว่าจะทำให้การนำเข้าสินค้า เช่น น้ำมันมีราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันลดลงถึงร้อยละ 50 ดังนั้น การที่เงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 10 จึงมีผลกระทบไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกสินค้าไทยที่จะได้เพิ่มขึ้น ขณะนี้ประเทศไทยส่งออกสินค้าประมาณ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากคิดอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีมูลค่าส่งออกสูงถึงปีละ 6 ล้านล้านบาท หากอ่อนค่าลงก็จะเป็นอาวุธให้สินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ท่ามกลางการแย่งชิงที่รุนแรง ซึ่งเชื่อว่าทุกประเทศจะทำให้ค่าเงินอ่อนลง เพื่อให้สินค้าแข่งขันได้ แต่ไม่มีใครออกมาพูด ดังนั้น ไทยจะต้องตั้งเป้าหมายเงินบาทให้อ่อนค่าลง ร้อยละ 5-10 และควรจะมีแผนที่เหมาะสมรองรับ
นายสันติ กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลง หากทำได้จะช่วยให้สินค้าเกษตรส่งออกได้ ขณะเดียวกันการที่เงินบาทอ่อนค่าบางฝ่ายหวั่นว่าจะทำให้การนำเข้าสินค้า เช่น น้ำมันมีราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันลดลงถึงร้อยละ 50 ดังนั้น การที่เงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 10 จึงมีผลกระทบไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกสินค้าไทยที่จะได้เพิ่มขึ้น ขณะนี้ประเทศไทยส่งออกสินค้าประมาณ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากคิดอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีมูลค่าส่งออกสูงถึงปีละ 6 ล้านล้านบาท หากอ่อนค่าลงก็จะเป็นอาวุธให้สินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ท่ามกลางการแย่งชิงที่รุนแรง ซึ่งเชื่อว่าทุกประเทศจะทำให้ค่าเงินอ่อนลง เพื่อให้สินค้าแข่งขันได้ แต่ไม่มีใครออกมาพูด ดังนั้น ไทยจะต้องตั้งเป้าหมายเงินบาทให้อ่อนค่าลง ร้อยละ 5-10 และควรจะมีแผนที่เหมาะสมรองรับ
