นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาล และแนวทางการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ส่วนจะสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ อยู่ที่ทุกคนที่อยู่ในที่นี้จะให้ความร่วมมือการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้สิ่งสำคัญด้านนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลมุ่งสร้าง คือ ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติ โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ลดปัญหาความขัดแย้ง ที่ไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร แต่ต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ไขปัญหาได้ โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ที่ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาวะเศรษฐกิจโลก ที่รัฐบาลต้องพยายามหาแนวทางแก้ไขต่อไป ตลอดจนการสร้างสมดุลเศรษฐกิจของประเทศ ที่ภาคเอกชนต้องสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้กระจายสู่ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง จากนั้น เร่งสร้างระบบการขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ การใช้พลังงานทดแทน การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการเอสเอ็มแอล เอสเอ็มอี ช่วยการลงทุนให้เกิดขึ้นในประเทศ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประเทศไทยเกิดปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ที่คนไทยด้วยกันต้องร่วมกันหาทางออกและอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยรัฐบาลจะไม่สิ้นความพยายาม และความอดทน ที่จะขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไป เพราะเห็นว่า รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งตรงนี้รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องร่วมกันขจัดให้หมดไป และปรับปรุงแนวทางการเมืองใหม่ ที่มีผู้เสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย และในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพร้อมรับฟังทุกฝ่าย ให้สิทธิเสรีภาพทุกคน ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชทานระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สละพระราชอำนาจให้กับประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จากการหารือร่วมกับทุกพรรคการเมือง เห็นตรงกันว่า จะหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการตั้ง สสร. จากทุกภาคส่วนของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เชื่อว่า หากยอมรับกันได้ก็จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์การเมืองได้ ถือเป็นทางออกที่ดีในขณะนี้
ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ที่ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาวะเศรษฐกิจโลก ที่รัฐบาลต้องพยายามหาแนวทางแก้ไขต่อไป ตลอดจนการสร้างสมดุลเศรษฐกิจของประเทศ ที่ภาคเอกชนต้องสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้กระจายสู่ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง จากนั้น เร่งสร้างระบบการขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ การใช้พลังงานทดแทน การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการเอสเอ็มแอล เอสเอ็มอี ช่วยการลงทุนให้เกิดขึ้นในประเทศ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประเทศไทยเกิดปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ที่คนไทยด้วยกันต้องร่วมกันหาทางออกและอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยรัฐบาลจะไม่สิ้นความพยายาม และความอดทน ที่จะขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไป เพราะเห็นว่า รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งตรงนี้รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องร่วมกันขจัดให้หมดไป และปรับปรุงแนวทางการเมืองใหม่ ที่มีผู้เสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย และในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพร้อมรับฟังทุกฝ่าย ให้สิทธิเสรีภาพทุกคน ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชทานระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สละพระราชอำนาจให้กับประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จากการหารือร่วมกับทุกพรรคการเมือง เห็นตรงกันว่า จะหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการตั้ง สสร. จากทุกภาคส่วนของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เชื่อว่า หากยอมรับกันได้ก็จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์การเมืองได้ ถือเป็นทางออกที่ดีในขณะนี้
