นายไพโรจน์ มกร์ดารา ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการพิเศษ เครือสหวิริยา เปิดเผยว่า หลังจากที่เครือสหวิริยาได้ยื่นรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการโรงถลุงเหล็กสหวิริยาต่อสำนักงานคณะกรรมการและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 ปัจจุบันอีไอเออยู่ในขั้นตอนการศึกษาในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการ ให้ทำการศึกษาเพิ่มภายหลังการประชุมพิจารณาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นขั้นตอนตามปกติในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการทำอีไอเอทั่วไป
นายไพโรจน์ กล่าวว่า อีไอเอโรงถลุงเหล็กฯ ขณะนี้ กำลังทำการศึกษาและกำหนดมาตรการป้องกันฯ เพิ่มเติม ซึ่งผลกระทบทุกเรื่องที่ชุมชนพูดมาอยู่ในกระบวนการศึกษาอยู่แล้ว แต่โครงการโรงถลุงเหล็กฯ นับเป็นโครงการใหม่ที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย เป็นธรรมดาที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจในรายละเอียด การศึกษาเพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นเพื่อให้เกิดการอธิบายและให้มีความเข้าใจตรงกันมากขึ้น ซึ่งเราให้ความใส่ใจในทุกประเด็นที่เป็นข้อกังวลใจของทุกฝ่าย รวมทั้งกลุ่มอนุรักษ์ฯ และพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่เพื่อให้ภาคประชาชนและสังคมเกิดความมั่นใจต่อโครงการฯ
ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการพิเศษ เครือสหวิริยา กล่าวต่อว่า จากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคม ประเทศไทยนำเข้าเหล็กมูลค่าสูงกว่า 4 แสนล้านบาท และคาดว่าอาจสูงขึ้นถึงกว่า 6 แสนล้านบาทในสิ้นปี หากโครงการเหล็กต้นน้ำเกิดขึ้นโดยเร็ว ก็จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตการขาดดุลการค้าเหล็กอันมหาศาลของประเทศไทยได้ รวมทั้งเกิดการจ้างงานอีกกว่า 5,000 อัตราซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างงานคนในพื้นที่ และเกิดการกระจายรายได้สู่ธุรกิจชุมชนทุกภาคส่วน เช่น ตลาด ร้านค้าอาหาร เกษตร โรงแรม ธุรกิจบริการ ก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป เป็นต้น
นายไพโรจน์ กล่าวว่า อีไอเอโรงถลุงเหล็กฯ ขณะนี้ กำลังทำการศึกษาและกำหนดมาตรการป้องกันฯ เพิ่มเติม ซึ่งผลกระทบทุกเรื่องที่ชุมชนพูดมาอยู่ในกระบวนการศึกษาอยู่แล้ว แต่โครงการโรงถลุงเหล็กฯ นับเป็นโครงการใหม่ที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย เป็นธรรมดาที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจในรายละเอียด การศึกษาเพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นเพื่อให้เกิดการอธิบายและให้มีความเข้าใจตรงกันมากขึ้น ซึ่งเราให้ความใส่ใจในทุกประเด็นที่เป็นข้อกังวลใจของทุกฝ่าย รวมทั้งกลุ่มอนุรักษ์ฯ และพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่เพื่อให้ภาคประชาชนและสังคมเกิดความมั่นใจต่อโครงการฯ
ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการพิเศษ เครือสหวิริยา กล่าวต่อว่า จากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคม ประเทศไทยนำเข้าเหล็กมูลค่าสูงกว่า 4 แสนล้านบาท และคาดว่าอาจสูงขึ้นถึงกว่า 6 แสนล้านบาทในสิ้นปี หากโครงการเหล็กต้นน้ำเกิดขึ้นโดยเร็ว ก็จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตการขาดดุลการค้าเหล็กอันมหาศาลของประเทศไทยได้ รวมทั้งเกิดการจ้างงานอีกกว่า 5,000 อัตราซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างงานคนในพื้นที่ และเกิดการกระจายรายได้สู่ธุรกิจชุมชนทุกภาคส่วน เช่น ตลาด ร้านค้าอาหาร เกษตร โรงแรม ธุรกิจบริการ ก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป เป็นต้น
