นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะประชุมร่วมกับนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาชิก ส.อ.ท. เพื่อรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายสันติ กล่าวว่า ส.อ.ท.เตรียมเสนอ 8 แนวทางให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือ คือ 1.การเตรียมรับมือกับวิกฤตการเงินโลกด้วยการดูแลสภาพล่องไม่ให้มีปัญหา กำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้เหมาะสม หรือปรับลดลง 2. การเร่งรัดลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องฟื้นตัว 3. การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตุ้นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น 4. การเร่งสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศให้กลับมาใช้จ่าย 5. จัดหาวงเงิน 30,000 ล้านบาท ทดแทนวงเงินเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้โครงการที่เคยกู้เงินและเบิกใช้ยังไม่หมด กู้ต่อเนื่อง 6. เสนอตั้งกองทุนเอสเอ็มอี 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7. ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 20-25 ยกเว้นภาษีนำเข้าและอุปกรณ์ และหักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่า สำหรับสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม 8. ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลและกระทรวงด้านเศรษฐกิจจากหลายพรรคการเมืองประสานงานร่วมกันรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก
นายสันติ กล่าวว่า กรณีที่ ส.อ.ท.เสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพราะขณะนี้มีความจำเป็นต้องดูแลเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากดอกเบี้ยหลายประเทศเริ่มมีทิศทางลดลง ซึ่งหากลดดอกเบี้ยจะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนที่ต่ำลง ส่วนการใช้เงิน 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ คาดว่าคงยังไม่เพียงพอ เพราะต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเพื่อดูแลผลกระทบต่อเนื่อง เพราะขณะนี้ปัญหาได้แพร่กระจายไปยังยุโรป ญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะลุกลามไปอีกหลายประเทศ และแม้จะกระทบการส่งออกของไทย แต่ยังเชื่อมั่นว่า เป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 15 น่าจะทำได้ เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และสิ่งทอ มีคำสั่งซื้อมูลค่ารวมกันกว่า 10,000 ล้านบาทแล้วช่วงปลายปี
นายสันติ กล่าวว่า ส.อ.ท.เตรียมเสนอ 8 แนวทางให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือ คือ 1.การเตรียมรับมือกับวิกฤตการเงินโลกด้วยการดูแลสภาพล่องไม่ให้มีปัญหา กำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้เหมาะสม หรือปรับลดลง 2. การเร่งรัดลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องฟื้นตัว 3. การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตุ้นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น 4. การเร่งสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศให้กลับมาใช้จ่าย 5. จัดหาวงเงิน 30,000 ล้านบาท ทดแทนวงเงินเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้โครงการที่เคยกู้เงินและเบิกใช้ยังไม่หมด กู้ต่อเนื่อง 6. เสนอตั้งกองทุนเอสเอ็มอี 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7. ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 20-25 ยกเว้นภาษีนำเข้าและอุปกรณ์ และหักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่า สำหรับสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม 8. ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลและกระทรวงด้านเศรษฐกิจจากหลายพรรคการเมืองประสานงานร่วมกันรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก
นายสันติ กล่าวว่า กรณีที่ ส.อ.ท.เสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพราะขณะนี้มีความจำเป็นต้องดูแลเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากดอกเบี้ยหลายประเทศเริ่มมีทิศทางลดลง ซึ่งหากลดดอกเบี้ยจะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนที่ต่ำลง ส่วนการใช้เงิน 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ คาดว่าคงยังไม่เพียงพอ เพราะต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเพื่อดูแลผลกระทบต่อเนื่อง เพราะขณะนี้ปัญหาได้แพร่กระจายไปยังยุโรป ญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะลุกลามไปอีกหลายประเทศ และแม้จะกระทบการส่งออกของไทย แต่ยังเชื่อมั่นว่า เป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 15 น่าจะทำได้ เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และสิ่งทอ มีคำสั่งซื้อมูลค่ารวมกันกว่า 10,000 ล้านบาทแล้วช่วงปลายปี
