นายสมบูรณ์ จิตตลีลา ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า จากสภาพฝนตกหนักในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์อย่างต่อเนื่อง จำนวน 73.08 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ณ วันนี้ เวลา 08.00 น. มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำที่ 181.51 เมตร ต่ำกว่าระดับเก็บกักสูงสุดที่ 182 เมตร คิดเป็นร้อยละ 92 ของความจุอ่างเก็บน้ำ หรือ 0.49 เมตร ยังคงสามารถรับน้ำได้อีก 191 ล้านลูกบาศก์เมตร
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำจากระบบโทรมาตรเขื่อนอุบลรัตน์อย่างใกล้ชิด พบว่าปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยประมาณวันละ 73 ล้านลูกบาศก์เมตร และจากการคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีแนวโน้มฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องอันได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนเมขลา ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเขื่อนอุบลรัตน์จำเป็นต้องระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำล้น ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อรักษาระดับน้ำไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความความเดือดร้อนต่อประชาชน ทั้งด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ โดยได้ระบายน้ำเพื่อควบคุมระดับและปริมาณน้ำในอัตราประมาณ 375 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่ลำน้ำพองสามารถรองรับการระบายน้ำได้ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทั้งนี้ ในปี 2551 เขื่อนอุบลรัตน์รองรับน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถบรรเทาความเดือนร้อนจากอุทกภัยให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม หากปริมาณเก็บกักน้ำเกินกว่าระดับเก็บกักของเขื่อนฯ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลเกษตรของประชาชนที่อยู่เหนือเขื่อนเช่นกัน จึงต้องจัดสรรการเก็บกักน้ำให้เหมาะสม
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำจากระบบโทรมาตรเขื่อนอุบลรัตน์อย่างใกล้ชิด พบว่าปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยประมาณวันละ 73 ล้านลูกบาศก์เมตร และจากการคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีแนวโน้มฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องอันได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนเมขลา ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเขื่อนอุบลรัตน์จำเป็นต้องระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำล้น ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อรักษาระดับน้ำไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความความเดือดร้อนต่อประชาชน ทั้งด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ โดยได้ระบายน้ำเพื่อควบคุมระดับและปริมาณน้ำในอัตราประมาณ 375 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่ลำน้ำพองสามารถรองรับการระบายน้ำได้ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทั้งนี้ ในปี 2551 เขื่อนอุบลรัตน์รองรับน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถบรรเทาความเดือนร้อนจากอุทกภัยให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม หากปริมาณเก็บกักน้ำเกินกว่าระดับเก็บกักของเขื่อนฯ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลเกษตรของประชาชนที่อยู่เหนือเขื่อนเช่นกัน จึงต้องจัดสรรการเก็บกักน้ำให้เหมาะสม