ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีจัดรายการโทรทัศน์มีการกล่าวหาและพาดพิง หมิ่นประมาทว่ามีผู้บริหารระดับสูงของ กทม.เรียกรับเงินในโครงการก่อสร้างของ กทม. มูลค่ากว่า 3,000 บาท และมีภรรยาของผู้บริหารระดับสูงใน กทม. นำเงินจากผู้รับเหมาไปซื้อรถยนต์ BMW ซีรี่ย์ 7 โดยศาลชั้นต้นได้ตัดสินจำคุกไปแล้ว คนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
โดยวันนี้ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาโดยพิเคราะห์ 2 ประเด็นที่ในส่วนของจำเลยได้ยื่นไว้ ประเด็นแรก คือ จำเลยอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาใส่ความหรือหมิ่นประมาทโจทก์ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวไปตามข้อเท็จจริง โดยอ้างว่าไม่ได้มีการตรวจสอบก่อนเป็นการอ่านไปตามข่าว โดยวันนี้ศาลได้บรรยายบทสนทนาในรายการที่นายสมัครและนายดุสิตร่วมกันจัดรายการ อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการจัดรายการตั้งแต่วันที่ 12-19 มกราคม 2549 ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วถือว่าคำอ้างจำเลยฟังไม่ขึ้น เพราะในบทสนทนาของจำเลยทั้งสองมีการพูดถึงแม้ว่าจะไม่เอ่ยชื่อแต่มีน้ำหนักเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการพูดถึงนายสามารถ
อีกประเด็นหนึ่งคือ เรื่องที่จำเลยขอให้ชะลอการลงโทษไปก่อน โดยยกเหตุผลว่า จำเลยนั้นเคยเป็นนักการเมือง และทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมือง แต่ประเด็นนี้ศาลถือว่าฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะการแสดงความเห็นของจำเลยซึ่งเป็นนักการเมืองถือว่ามีน้ำหนักมากพอที่จะให้ประชาชนรู้สึกคล้อยตามได้ และจำเลยทั้งสองเคยทำความผิดในลักษณะนี้มาก่อน แต่ศาลเคยให้กลับตัวกลับใจ แต่จำเลยกลับมาทำผิดซ้ำศาลจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ทันทีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา นายสมัคร และนายดุสิตจำเลยในคดีนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท
โดยวันนี้ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาโดยพิเคราะห์ 2 ประเด็นที่ในส่วนของจำเลยได้ยื่นไว้ ประเด็นแรก คือ จำเลยอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาใส่ความหรือหมิ่นประมาทโจทก์ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวไปตามข้อเท็จจริง โดยอ้างว่าไม่ได้มีการตรวจสอบก่อนเป็นการอ่านไปตามข่าว โดยวันนี้ศาลได้บรรยายบทสนทนาในรายการที่นายสมัครและนายดุสิตร่วมกันจัดรายการ อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการจัดรายการตั้งแต่วันที่ 12-19 มกราคม 2549 ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วถือว่าคำอ้างจำเลยฟังไม่ขึ้น เพราะในบทสนทนาของจำเลยทั้งสองมีการพูดถึงแม้ว่าจะไม่เอ่ยชื่อแต่มีน้ำหนักเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการพูดถึงนายสามารถ
อีกประเด็นหนึ่งคือ เรื่องที่จำเลยขอให้ชะลอการลงโทษไปก่อน โดยยกเหตุผลว่า จำเลยนั้นเคยเป็นนักการเมือง และทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมือง แต่ประเด็นนี้ศาลถือว่าฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะการแสดงความเห็นของจำเลยซึ่งเป็นนักการเมืองถือว่ามีน้ำหนักมากพอที่จะให้ประชาชนรู้สึกคล้อยตามได้ และจำเลยทั้งสองเคยทำความผิดในลักษณะนี้มาก่อน แต่ศาลเคยให้กลับตัวกลับใจ แต่จำเลยกลับมาทำผิดซ้ำศาลจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ทันทีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา นายสมัคร และนายดุสิตจำเลยในคดีนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท